Blog

  • Lionel Messi vs Thomas Müller การปะทะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ufa800

    Lionel Messi vs Thomas Müller การปะทะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ufa800

    Lionel Messi vs Thomas Müller พบกันอีกครั้ง โดยอินเตอร์ ไมอามี จะเปิดบ้านรับการมาเยือนของแวนคูเวอร์ ไวท์แคปส์ เอฟซี ในรอบชิงชนะเลิศ MLS Cup 2025 ufa800

    ศึก MLS Cup 2025 ระหว่าง Inter Miami และ Vancouver Whitecaps ไม่ได้เป็นเพียงการชิงแชมป์ลีกสูงสุดของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ยังเป็น “บทล่าสุด” ของหนึ่งในคู่ปรับที่น่าจดจำที่สุดของโลกฟุตบอลยุคปัจจุบัน—การดวลกันระหว่าง Lionel Messi vs Thomas Müller

    ในแง่ภาพจำของแฟนบอลทั่วโลก คู่นี้อาจไม่ใช่คู่ปรับแบบตรงตัวเหมือน Messi vs Cristiano Ronaldo แต่หากมองที่ผลการแข่งขันในแมตช์ใหญ่ระดับทัวร์นาเมนต์ และเกมชี้ชะตาหลายครั้งที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า Thomas Müller คือหนึ่งในผู้เล่นที่ “ทำร้ายความฝัน” ของ Messi มากที่สุดคนหนึ่งในเส้นทางอาชีพ

    ก่อนถึงรอบชิง MLS Cup ที่ไมอามี ทั้งสองเคยเจอกันมาแล้ว 10 ครั้ง

    • Messi ชนะ 3 นัด
    • Müller ชนะ 7 นัด
    • Messi ยิง 3 ประตู
    • Müller ยิง 6 ประตู

    และในเกมที่ 11 พวกเขาจะเจอกันในบริบทใหม่—ไม่ใช่ยูโรป หรือฟุตบอลโลก แต่เป็นเวที MLS ที่กำลังพยายามก้าวขึ้นมาอยู่ในสายตาแฟนบอลทั่วโลก

    ด้านล่างนี้คือการ จัดอันดับแมตช์คลาสสิกของ Messi vs Müller จากน้อยไปหามาก ก่อนเข้าสู่คืนชี้ชะตาใน MLS Cup 2025

    Lionel Messi vs Thomas Müller ตัวเลขภาพรวม

    สถิติรวม (10 นัดก่อนหน้า)

    • แข่ง 10 นัด
    • Messi ชนะ 3
    • Müller ชนะ 7
    • Messi ยิง 3 ประตู
    • Müller ยิง 6 ประตู
    • นาทีลงสนามของ Messi: 930 นาที
    • นาทีลงสนามของ Müller: 741 นาที

    ตัวเลขเหล่านี้บอกชัดว่า เมื่อพูดถึง “ความสำเร็จในเกมสำคัญ” Müller มักอยู่ฝั่งที่ยิ้มมากกว่า แต่ในหลายแมตช์ ก็เป็นวันที่ Messi สร้างโมเมนต์ที่โลกจำไม่ลืมเช่นกัน

    อันดับ 7  แมตช์อุ่นเครื่องทีมชาติที่ Messi กุมความได้เปรียบ

    2010: เยอรมนี 0–1 อาร์เจนตินา
    2012: เยอรมนี 1–3 อาร์เจนตินา

    แม้ในฟุตบอลระดับสโมสรและทัวร์นาเมนต์ใหญ่ Müller จะเหนือกว่าในผลการแข่งขัน แต่ในเกมอุ่นเครื่องทีมชาติ กลับเป็น Messi ที่ทำได้ดีกว่าอย่างชัดเจน

    การเจอกันครั้งแรกในปี 2010 เป็นแมตช์อุ่นเครื่องที่เยอรมนีเปิดบ้านรับอาร์เจนตินา เกมนั้นจบลงด้วยสกอร์ 1–0 จากประตูชัยของ Gonzalo Higuaín ซึ่งต่อมากลายเป็นหนึ่งในดาวยิงคนสำคัญของ Inter Miami ก่อน Messi จะมาทำลายสถิติในภายหลัง เป็นเหมือนเชือกเส้นเล็ก ๆ ที่โยงจากยุคทีมชาติสู่ยุค MLS ในวันนี้

    ในปี 2012 ทั้งคู่เจอกันอีกครั้ง เกมนั้น Messi ยิงหนึ่งประตูในชัยชนะ 3–1 ขณะที่ Müller ลงเล่นเพียง 32 นาที ผลสรุปคือ ในเวทีที่ไม่มีแรงกดดันมากเท่าทัวร์นาเมนต์ใหญ่ Messi เป็นฝ่ายคุมเกมและคว้าชัยได้ทั้งสองนัด ถือเป็นด้านหนึ่งของคู่ปรับคู่นี้ที่หลายคนมักลืมไป

    อันดับ 6  ปะทะกันในยุค PSG: ฝัน UCL ที่ไม่เป็นจริงของ Messi

    ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2022–23 รอบ 16 ทีม
    Bayern Munich 3–0 PSG (สกอร์รวม)

    ช่วงเวลาที่ Messi อยู่กับ Paris Saint-Germain ถูกคาดหวังว่าอาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะคว้า UCL อีกครั้ง แต่การเจอกับ Bayern Munich ที่มี Müller นำแนวรุก กลับกลายเป็นจุดจบอันเงียบงัน

    ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย PSG แพ้รวมสองนัด 0–3 แบบแทบไม่มีช่วงที่ได้เปรียบเลย แม้ Müller จะไม่ได้ทำประตูในครั้งนี้ แต่รูปเกมชัดเจนว่า Bayern เป็นทีมที่แข็งแกร่งกว่าในทุกมิติ การเพรสซิ่ง การจัดระเบียบ และการควบคุมพื้นที่ ทำให้ Messi ไม่สามารถสร้างความแตกต่างเหมือนที่เคยทำกับ Barcelona

    แมตช์นี้อาจไม่ใช่เกมที่ดราม่าที่สุดของคู่นี้ แต่เป็นอีกหนึ่งจุดที่ตอกย้ำว่า เส้นทาง UCL ช่วงท้ายของ Messi เต็มไปด้วยกำแพงใหญ่ที่ชื่อ Bayern Munich และในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ภาพของ Müller ในฐานะ “ผู้ขัดขวางเส้นทางแชมป์” ดูชัดขึ้นอีกหนึ่งระดับ

    อันดับ 5  2012–13: ปีทองของ Bayern และฝันร้ายของ Barcelona

    ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2012–13 รอบรองชนะเลิศ
    Bayern Munich 7–0 Barcelona (สกอร์รวม)

    นี่คือหนึ่งในค่ำคืนที่เจ็บปวดที่สุดของบาร์เซโลน่ายุค Messi และเป็นหนึ่งในค่ำคืนที่งดงามที่สุดของ Thomas Müller ในเส้นทาง UCL

    • นัดแรก Bayern เปิดบ้านถล่ม 4–0
    • Müller ยิง 2 ประตู และมีอิทธิพลต่อเกมอย่างมหาศาล
    • นัดสองที่คัมป์นู Barça ยังไม่อาจกลับมาได้ และท้ายที่สุดรวมสองนัดแพ้ 0–7

    แม้ Messi จะไม่ได้ลงเล่นในเลกที่สองเพราะอาการบาดเจ็บ แต่การที่เขาอยู่ในสนามเลกแรกและไม่สามารถช่วยทีมได้ ทำให้แมตช์นี้ถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนยุคจาก Barça ยุคทอง สู่ยุคที่ Bayern และทีมจากเยอรมนีก้าวขึ้นมาท้าทายอย่างเต็มตัว

    หลังจากนั้น Bayern คว้าแชมป์ยุโรปด้วยการเอาชนะ Borussia Dortmund ในรอบชิง เป็นปีที่ Müller และเพื่อนร่วมทีมแตะจุดสูงสุดของยุคทองของพวกเขาอย่างแท้จริง

    อันดับ 4  ฟุตบอลโลก 2010: จุดเริ่มต้นของ “ฝันร้ายสีดำแดง”

    ฟุตบอลโลก 2010 รอบก่อนรองชนะเลิศ
    อาร์เจนตินา 0–4 เยอรมนี

    ฟุตบอลโลก 2010 เป็นทัวร์นาเมนต์ที่ Messi กำลังเดินหน้าไล่ล่าความสำเร็จระดับชาติ ขณะที่ Müller เพิ่งอายุ 20 ปี แต่การเจอกันครั้งนี้ กลับเป็นวันที่โลกเริ่มรู้จักดาวรุ่งเยอรมันว่าสามารถเปลี่ยนเกมใหญ่ได้

    เยอรมนียิงอาร์เจนตินา 4–0 และ Müller ทำหนึ่งประตูในเกมนั้น ก่อนจะจบทัวร์นาเมนต์ด้วยการคว้ารางวัลรองเท้าทองคำ จากผลงาน 5 ประตูใน 6 นัด เกมนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งในแมตช์ที่ Müller ชนะ Messi แต่เป็น “จุดกำเนิด” ของบทบาทเขาในฐานะคนที่มักอยู่ฝั่งที่ทำลายความฝันของทีมที่มีเบอร์ 10 จากอาร์เจนตินา

    แม้ท้ายที่สุดเยอรมนีจะพลาดท่าต่อสเปนในรอบรองชนะเลิศ แต่สำหรับคู่ Messi–Müller นี่คือจุดเริ่มต้นของภาพจำที่ยังตามมาจนถึงยุค MLS

    อันดับ 3  ค่ำคืน 8–2: ความพ่ายแพ้ที่โลกไม่ลืม

    ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2019–20 รอบก่อนรองชนะเลิศ (นัดเดียวจบ)
    Bayern Munich 8–2 Barcelona

    นี่คือเกมที่แฟนบอลทั่วโลกรู้จักดีในฐานะ “ค่ำคืนมรณะของ Barcelona” และเป็นหนึ่งในความพ่ายแพ้ที่เลวร้ายที่สุดในอาชีพของ Messi

    เกมนี้แข่งที่สนามกลางในลิสบอน แบบนัดเดียวรู้ผล เพราะสถานการณ์ COVID-19

    • Bayern ยิง 8 ประตู
    • Müller ยิง 2 ประตู
    • เกมรุกของ Barça พังแบบไร้ทิศทาง
    • แนวรับเสียรูปทรงตั้งแต่นาทีแรกถึงนาทีสุดท้าย

    นอกจากบทบาทของ Müller แล้ว เกมนี้ยังเป็นแมตช์สร้างชื่อของ Alphonso Davies แบ็กซ้ายดาวรุ่งของ Bayern ที่โชว์ฟอร์มสุดยอด จนต่อมากลายเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อมโยงระหว่าง MLS กับเวทียุโรป และยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีก เมื่อเวลาผ่านไป Müller กลายเป็นดาวเด่นของ Vancouver Whitecaps ซึ่งเป็นสโมสรในเมืองบ้านเกิดของ Davies เอง

    อันดับ 2  การล้างแค้นของ Messi ใน UCL 2014–15

    ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2014–15 รอบรองชนะเลิศ
    Barcelona 5–3 Bayern Munich (สกอร์รวม)

    หากพูดถึงเกมที่ Messi สามารถเอาชนะทีมของ Müller ได้อย่างสง่างาม ไม่มีแมตช์ไหนชัดไปกว่านี้อีกแล้ว

    • เลกแรกที่คัมป์นู Barça ชนะ 3–0
      • Messi ยิง 2 ประตู
      • แอสซิสต์ให้เนย์มาร์อีก 1
    • เลกสอง Bayern เปิดบ้านชนะ 3–2
      • Müller ยิง 1
      • Neymar ยิง 2 ประตู จากแอสซิสต์ของ Suárez

    รวมแล้ว Barça เอาชนะด้วยสกอร์รวม 5–3 และมุ่งหน้าสู่รอบชิง ก่อนคว้าแชมป์ UCL สมัยที่ 4 ของ Messi ด้วยการเอาชนะ Juventus

    สิ่งที่ทำให้แมตช์นี้ยิ่งมีความหมายในปี 2025 คือ

    • Messi
    • Luis Suárez
    • Jordi Alba
    • Sergio Busquets

    ทุกคนที่เป็นตัวหลักในเกมนั้น ปัจจุบันล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับ Inter Miami ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทำให้เส้นเรื่องของ “Barça ยุค MSN” กลายมาเชื่อมกับ MLS อย่างเต็มตัวในวันนี้

    อันดับ 1  ฟุตบอลโลก 2014: คืนที่ Müller ปิดประตูความฝันของ Messi

    ฟุตบอลโลก 2014 นัดชิงชนะเลิศ
    เยอรมนี 1–0 อาร์เจนตินา (ต่อเวลาพิเศษ)

    นี่คือแมตช์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการดวลกันระหว่างทั้งสอง และเป็นเพียงเกมเดียวก่อน MLS Cup ที่มีถ้วยรางวัลใหญ่สุดอยู่บนเส้น

    • Messi แบกความหวังของทั้งประเทศอาร์เจนตินา
    • Müller เป็นหัวใจเกมรุกของเยอรมนีในระบบของ Joachim Löw
    • เกมตึงเครียด 0–0 ตลอด 90 นาที
    • ในช่วงต่อเวลาพิเศษ Müller มีส่วนกับการขึ้นเกมฝั่งขวา ก่อนที่ Mario Götze จะยิงประตูชัยสุดคลาสสิก

    เยอรมนีคว้าแชมป์โลก ขณะที่ Messi จบฟุตบอลโลกหนนั้นด้วยความผิดหวัง แม้จะคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ แต่เขายังคงไร้ถ้วยแชมป์ระดับชาติในเวลานั้น

    หลังจากนั้นอีกสองปี เขายังต้องเจ็บปวดกับการพลาดแชมป์โคปา อเมริกา และถึงขั้นประกาศเลิกเล่นทีมชาติชั่วคราว ก่อนจะกลับมาสร้างตำนานใหม่ในอีกหลายปีให้หลัง ด้วยแชมป์โคปา อเมริกา และฟุตบอลโลก 2022

    แต่ในประวัติศาสตร์ของการเจอกับ Müller เกมที่มารากาน่าในปี 2014 ยังคงเป็นแผลลึกสุดในใจของแฟนบอลอาร์เจนตินาจำนวนมาก

    แล้ว MLS Cup 2025 จะไปอยู่ตรงไหนในลิสต์นี้?

    เมื่อมองภาพรวม ทั้งสองเคยเจอกันในเวที

    • ฟุตบอลโลก
    • ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
    • เกมอุ่นเครื่องทีมชาติ

    แต่ครั้งนี้คือครั้งแรกที่พวกเขาเจอกันในรอบชิงของลีกอเมริกาเหนือ ซึ่งอาจกลายเป็นเกมที่ปิดเส้นทางการเล่นระดับสูงของทั้งคู่ หรืออาจเป็นอีกหนึ่งแมตช์ประวัติศาสตร์ที่ถูกพูดถึงไม่แพ้เกมในปี 2014 ก็ได้

    เพราะสำหรับผู้ชนะที่ Chase Stadium ในวันที่ 6 ธันวาคม 2025
    เขาจะกลายเป็น นักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าได้ทั้งถ้วย World Cup และ MLS Cup

    และไม่ว่าผลจะออกอย่างไร ประวัติศาสตร์ของคู่ Messi vs Müller ก็จะต้องมีการ “อัปเดต” อีกครั้งหลังจากคืนนั้นแน่นอน

    หากคุณชอบอ่านเรื่องราวคู่ปรับระดับตำนานแบบนี้ พร้อมมุมมองเชิงลึกทั้งสถิติและบริบทฟุตบอลสมัยใหม่ ลองติดตามคอนเทนต์ฟุตบอลที่เล่าเรื่องได้สนุกและใช้อ้างอิงก่อนวิเคราะห์เกมจริงได้อัปเดตทุกแมตช์ใหญ่ ข่าวร้อน และมุมมองใหม่ของโลกฟุตบอลได้ที่ ufa800 ช่องทางข้อมูลลูกหนังที่แฟนบอลตัวจริงไม่ควรมองข้าม

  • ‘ต้องเอาให้สุดหรือเอาให้สุด’ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ กองหลังอินเตอร์ ไมอามี รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นในเกม MLS Cup กับแวนคูเวอร์ ไวท์แคปส์ ufa800

    ‘ต้องเอาให้สุดหรือเอาให้สุด’ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ กองหลังอินเตอร์ ไมอามี รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นในเกม MLS Cup กับแวนคูเวอร์ ไวท์แคปส์ ufa800

    “มันคือ All or Nothing”  ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ รู้ดีว่า อินเตอร์ ไมอามี ต้องเดิมพันทุกอย่างในนัดชิง ufa800

    ก่อนถึงนัดชิง MLS Cup 2025 แทบทุกสายตาถูกจับจ้องไปที่ ลิโอเนล เมสซี, โธมัส มุลเลอร์ และแรงปะทะของสองสโมสรที่ฟอร์มแรงที่สุดในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ฤดูกาลนี้ แต่สำหรับคนที่แบกความกดดันแบบเต็ม ๆ บนไหล่ในมุมของอินเตอร์ ไมอามี ชื่อที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่

    อดีตฮาร์ดแมนแดนกลางทีมชาติอาร์เจนตินาและบาร์เซโลน่า ที่วันนี้เปลี่ยนมาจับงานโค้ชเต็มตัว ยอมรับตรง ๆ ว่าเกมระหว่าง อินเตอร์ ไมอามี vs แวนคูเวอร์ ไวต์แคปส์ ในค่ำคืนชิงถ้วยคือ “จุดตัดสิน” ของทุกอย่างที่ทีมลงแรงมาตลอดฤดูกาล เขาใช้คำชัดเจนว่า

    “มันคือเกมที่มีทุกอย่างอยู่บนเส้น – ได้หรือเสียทั้งหมด”

    และสิ่งที่เขาต้องการเห็นจากลูกทีมไม่ใช่ทริกแท็คติกซับซ้อน แต่คือ “ความหิว” และ “ความกระหาย” ในการคว้าแชมป์ให้ได้จริง ๆ

    ไมอามีทีมที่ไม่เคยเดินบนทางราบ  แต่ล้มแล้วลุกทุกครั้ง

    มาสเคราโน่ย้ำหลายครั้งในงานแถลงข่าวก่อนเกมว่า จุดแข็งของอินเตอร์ ไมอามีในฤดูกาลนี้ไม่ใช่การเล่นเหนือคู่แข่งทุกสัปดาห์ แต่คือ ความสามารถในการลุกขึ้นหลังจากเจ็บหนัก

    ฤดูกาลนี้พวกเขาเคยเจอความพ่ายแพ้ที่บาดลึกหลายครั้ง

    • แพ้แวนคูเวอร์แบบหมดรูปในรอบรองถ้วย Concacaf Champions Cup ด้วยสกอร์ 5–1
    • แพ้หนักในรอบชิง Leagues Cup ให้ซีแอตเทิล จนหลายคนตั้งคำถามว่า “ทีมชุดนี้พร้อมลุ้นแชมป์จริงหรือเปล่า”

    แต่แทนที่ฤดูกาลจะพังลงหลังจากความพ่ายแพ้เหล่านั้น ไมอามีกลับตั้งหลักใหม่ได้เร็ว พวกเขาปรับสภาพจิตใจ ฟื้นแผนการเล่น และค่อย ๆ ปีนกลับขึ้นสู่ระดับท็อปของลีกจนก้าวมาถึงนัดชิงใบใหญ่ที่สุดในปี

    มาสเคราโน่พูดถึงจุดนี้ด้วยน้ำเสียงภูมิใจว่า

    “พวกเขาโดนเล่นงานมาหนัก แต่ก็ยังลุกขึ้นได้ทุกครั้ง เรามาถึงตรงนี้เพราะความแข็งแกร่งของทั้งกลุ่ม ไม่ใช่แค่ฟอร์มช่วงใดช่วงหนึ่ง”

    ในมุมของโค้ช มันไม่ใช่แค่เรื่องแท็คติก แต่คือการสร้างทีมที่รู้จักยอมรับความพ่ายแพ้ แล้วใช้มันเป็นเชื้อเพลิงให้กลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม

    นัดชิงที่เดิมพันทั้งฤดูกาล “รางวัลก้อนใหญ่ตั้งอยู่ตรงหน้า”

    สองวันก่อนเกม มาสเคราโน่ให้สัมภาษณ์ว่า เกมวันเสาร์นี้คือ “รางวัล” ของทุกอย่างที่ทีมทุ่มเทมาตลอดปี

    เขาอธิบายว่า การมาถึงนัดสุดท้ายไม่ใช่โชค แต่มาจากการฝึกซ้อมและการจัดการทีมที่หนักมากตลอดทั้งซีซัน การต้องเดินทาง เกมถี่ ความกดดันจากสื่อ และการแบกรับชื่อของเมสซี ล้วนทำให้ไมอามีเหมือนลงเล่นทุกแมตช์แบบไม่มีพื้นที่ให้ผิดพลาด

    “เรามาถึงตรงนี้พร้อมเดิมพันทุกอย่าง มันคือเกมที่ให้รางวัลใหญ่ที่สุดกับงานที่พวกเขาทำมาตลอดฤดูกาล ถ้วยอยู่ตรงหน้าเราแล้ว เหลือแค่ถามตัวเองว่าอยากคว้ามันมากพอหรือยัง”

    สำหรับนักเตะและสตาฟฟ์ นี่ไม่ใช่แค่เกมเพิ่มเกียรติยศ แต่คือโอกาสของสโมสรในการคว้า แชมป์ลีกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และปิดฤดูกาลที่เต็มไปด้วยเรื่องราว ทั้งดีและร้าย แบบสมบูรณ์

    “จะชนะไม่ใช่เพราะชื่อ หรือแท็คติก  แต่มันคือความหิว”

    หนึ่งในประโยคที่โดดเด่นที่สุดจากมาสเคราโน่คือ การบอกว่าผลของนัดชิงจะ ไม่ได้ถูกกำหนดจากแท็คติกบนกระดาษ หรือประวัติในอดีตของนักเตะ แต่จะตัดสินกันที่ “ความหิว” และ “ความอยากชนะ” ของแต่ละฝ่าย

    เขาบอกอย่างตรง ๆ ว่า

    “มันจะจบลงด้วยคำถามเดียว – เรามีความต้องการที่จะ ‘กินมันเข้าไป’ หรือเปล่า”

    คำว่า “กิน” ในที่นี้ไม่ใช่การล้อเล่น แต่สื่อถึงสัญชาตญาณนักสู้แบบที่มาสเคราโน่เคยเป็นในสมัยเป็นนักเตะ การเล่นนัดชิงแบบ 50–50 ไม่มีใครครองเกมตลอด 90 นาทีได้ ทุกคนจะมีช่วงที่โดนกดดัน และทีมที่ผ่านช่วงแย่ของเกมได้โดยไม่เสียความเชื่อมั่นคือทีมที่มีโอกาสยกถ้วยมากที่สุด

    เขาทิ้งท้ายประเด็นนี้ว่า

    “หวังว่าเราจะตื่นขึ้นมาในวันเสาร์แบบหิวสุด ๆ”

    ซึ่งสะท้อนว่า ในมุมเขา สิ่งที่ต้องจัดการคือสภาพจิตใจของทีมตั้งแต่ก่อนเตะ มากกว่าการวางแท็คติกระดับซับซ้อนเพิ่มเติม

    ดวลแห่งประวัติศาสตร์: ทั้งไมอามีและแวนคูเวอร์ต่างรอแชมป์แรก

    แมตช์นี้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกขั้น เพราะ ทั้งอินเตอร์ ไมอามี และแวนคูเวอร์ ไวต์แคปส์ไม่เคยได้ชูถ้วย MLS Cup มาก่อน

    แวนคูเวอร์ถือเป็นทีมที่สร้างผลงานน่าทึ่งในซีซันนี้ พวกเขาเข้าชิงทุกรายการที่ลงแข่งขัน ตั้งแต่

    • แชมป์ Canadian Championship
    • เข้าชิง Concacaf Champions Cup
    • คว้าแชมป์ฝั่งตะวันตก (Western Conference)

    ส่วนไมอามีก็มีเส้นทางของตัวเอง จากการพยายามลุกขึ้นหลังพลาดในรายการถ้วยต่าง ๆ จนกลับมาเก็บโมเมนตัมได้ในช่วงท้ายฤดูกาล แรงส่งทั้งหมดทำให้เกมนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเมสซีหรือมุลเลอร์ แต่คือการชิง “ประวัติศาสตร์หน้าแรก” ของทั้งสองสโมสร

    ความกังวลเรื่องอาการป่วยของ Tadeo Allende – แต่โค้ชยืนยัน “ไม่มีอะไรน่าห่วง”

    ท่ามกลางความพร้อมก่อนนัดชิง มีข่าวลือเรื่องอาการป่วยของ ทาเดโอบ อเยนเด้ แนวรุกตัวสำคัญของไมอามีหลังเจ้าตัวไม่ได้ลงซ้อมในวันพฤหัสบดี

    มาสเคราโน่ออกมาเคลียร์ชัดว่า

    • อเยนเด้มีไข้เล็กน้อย จึงตัดสินใจให้พัก เพื่อไม่เสี่ยงก่อนแข่ง
    • ทีมแพทย์ประเมินแล้วว่าไม่ใช่อาการหนัก
    • คาดว่าจะกลับมาซ้อมในวันถัดไป และพร้อมมีชื่อในเกมชิงแน่นอน หากไม่มีอะไรแทรกซ้อน

    การออกมาพูดเร็วของโค้ชช่วยลดความกังวลของแฟนบอลได้พอสมควร เพราะอเยนเด้เป็นหนึ่งในนักเตะที่มีบทบาทสำคัญในเกมเพรสซิ่งและการเปลี่ยนจังหวะจากรับเป็นรุกอย่างรวดเร็ว

    มาสเคราโน่ vs มุลเลอร์  ความทรงจำที่ไม่ได้สวยหรู แต่เต็มไปด้วยความเคารพ

    เมื่อถูกถามถึงอดีตการเจอกับ โธมัส มุลเลอร์ ในฐานะคู่แข่งสมัยเป็นนักเตะ มาสเคราโน่ยอมรับแบบตรงไปตรงมาว่า “ไม่ใช่ความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตค้าแข้ง”

    เขาเคยอยู่ในสนามตอน

    • อาร์เจนตินาแพ้เยอรมนี 0–4 ฟุตบอลโลก 2010
    • แพ้ในนัดชิงฟุตบอลโลก 2014 ที่มุลเลอร์มีส่วนสำคัญในแนวรุกของเยอรมนี

    แต่ในฐานะโค้ชวันนี้ เขามองมุลเลอร์ด้วยสายตาแห่งความเคารพเต็มรูปแบบ

    “เขาคือหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดของเจเนอเรชัน เป็นแชมป์โลก และคว้ามาทุกถ้วยกับบาเยิร์น เขายกระดับให้ทั้งแวนคูเวอร์และ MLS มีลำดับชั้นที่แตกต่างไปจากเดิม”

    การมีมุลเลอร์ในทีมไวต์แคปส์ ทำให้เกมนี้มีน้ำหนักมากกว่าการเป็นเพียงนัดชิงระดับลีกอเมริกาเหนือ แต่กลายเป็นอีกหนึ่งบทของการดวลกันระหว่าง “ขุนพลยุคเก่าแห่งยุโรป” ที่ย้ายมาปิดฉากเส้นทางอาชีพใน MLS

    นัดอำลาของ Busquets และ Alba และภารกิจคุมอารมณ์ของโค้ชปีแรก

    อีกหนึ่งมิติสำคัญของเกมนี้คือ มันจะเป็นแมตช์สุดท้ายในอาชีพของสองตำนานบาร์เซโลน่า เซร์คิโอ บุสเกตส์ และ ฆอร์ดี้ อัลบา

    ทั้งสองคนไม่ใช่แค่ผู้เล่นในทีม แต่เป็น “เสาหลักทางจิตใจ” ของห้องแต่งตัว และยังเป็นเพื่อนร่วมทีมเก่าที่มาสเคราโน่เคยเล่นเคียงข้างในยุคทองของบาร์ซ่า การได้มาคุมทั้งคู่ในบทบาทโค้ช และต้องส่งพวกเขาลงเล่นเกมสุดท้ายในนัดชิงถ้วยใหญ่ ทำให้ภารกิจของมาสเคราโน่มีมิติทางอารมณ์ที่ลึกยิ่งขึ้น

    เขายอมรับว่า การอยู่ในรอบชิงในฐานะโค้ชกับในฐานะนักเตะ ให้ความรู้สึกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

    “ในฐานะโค้ช คุณต้องคอยสร้างความสงบให้ทีม ต้องเตรียมสัปดาห์สุดท้ายให้ดีที่สุด แทนที่จะปล่อยให้อารมณ์พาไปเหมือนสมัยเป็นผู้เล่น”

    เขาเน้นว่าบรรยากาศในทีมตอนนี้เต็มไปด้วยพลังบวก นักเตะรู้เป้าหมายชัดเจน และทุกคนเข้าใจว่านี่ไม่ใช่แค่เกมชิงถ้วย แต่เป็นการปิดฉากเส้นทางของบุสเกตส์และอัลบาในแบบที่พวกเขาสมควรได้รับ

    บทสรุป: นัดชิงที่เป็นมากกว่าฟุตบอล 90 นาที

    หากมองจากภาพกว้าง เกมนี้คือการตัดสินว่า

    • ใครจะคว้า แชมป์ MLS Cup ครั้งแรก
    • ใครจะเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่มีทั้งถ้วยโลกและ MLS Cup ในครอบครอง
    • อินเตอร์ ไมอามีจะจบยุค “บาร์ซ่าใน MLS” ด้วยการชูถ้วยหรือไม่
    • แวนคูเวอร์จะยืนยันสถานะทีมม้ามืดที่ไต่ขึ้นเป็นยอดทีมจริง ๆ ได้หรือเปล่า

    แต่ในมุมของมาสเคราโน่ ทุกอย่างถูกสรุปสั้น ๆ ง่าย ๆ แค่ไม่กี่คำ —
    “All or Nothing”

    มันคือเกมที่ตัดสินความหมายของฤดูกาล ความทรงจำของนักเตะรุ่นใหญ่ และความเชื่อมั่นของสโมสรที่พยายามสร้างตัวเองให้ยิ่งใหญ่ในเวที MLSถ้าคุณชอบอ่านเบื้องลึกก่อนเกมใหญ่ ทั้งแท็คติก มุมมองโค้ช และเรื่องอารมณ์ในห้องแต่งตัว การเตรียมตัวก่อนนั่งเชียร์ก็สำคัญไม่แพ้กัน
    อัปเดตข่าวฟุตบอล แนวทางวิเคราะห์ และมุมมองก่อนเกมในสไตล์อ่านง่ายแต่ลึกซึ้งได้ที่ ufa800 พื้นที่ของแฟนบอลที่真รักเกมลูกหนังและอยากตามทันทุกจังหวะสำคัญของโลกฟุตบอล

  • เจมี่ คาร์ราเกอร์ ปัดทฤษฎีการย้ายทีมของหลุยส์ ดิอาซ ลิเวอร์พูล  “เขาไม่ได้ยอดเยี่ยม” ufa365

    เจมี่ คาร์ราเกอร์ ปัดทฤษฎีการย้ายทีมของหลุยส์ ดิอาซ ลิเวอร์พูล “เขาไม่ได้ยอดเยี่ยม” ufa365

    เจมี่ คาร์ราเกอร์ ปกป้องการตัดสินใจของลิเวอร์พูลที่ขายหลุยส์ ดิอาซในช่วงซัมเมอร์ และมองว่าโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ควรได้ลงสนามเป็นตัวจริงในเกมกับซันเดอร์แลนด์ คืนวันพุธ ufa365

    ดีลของ หลุยส์ ดิอาซ ที่ย้ายจากลิเวอร์พูลไปบาเยิร์น มิวนิค ในช่วงซัมเมอร์ ถูกยกขึ้นมาถกเถียงกันแทบทุกสัปดาห์ โดยเฉพาะเมื่อมองไปที่ตัวเลขและฟอร์มของปีกโคลอมเบียในเยอรมนี ดิอาซยิงไปแล้ว 12 ประตู จ่ายอีก 6 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 19 นัด และยังไม่เคยแพ้เลยยกเว้นเกมที่เจ้าตัวติดโทษแบน ไม่น่าแปลกที่แฟนหงส์จำนวนหนึ่งเริ่มตั้งคำถามว่า “ลิเวอร์พูลปล่อยเขาไปทำไม” และ “ถ้ายังมีดิอาซอยู่ ตอนนี้ทีมคงไม่สะดุดหนักขนาดนี้” อย่างไรก็ตาม เจมี คาร์ราเกอร์ อดีตกองหลังระดับตำนานของสโมสร กลับออกมา “เบรก” ทฤษฎีที่ว่าการขายดิอาซคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ เขามองจากมุมของโครงสร้างสโมสร สัญญาใหม่ และแผนระยะยาว มากกว่าจะโฟกัสแค่ฟอร์มหรืออารมณ์เสียดายในระยะสั้น

    คาร์รามองว่า สิ่งที่หลายคนลืมคือดีลนี้ไม่ได้เกิดจากฝั่งสโมสรฝ่ายเดียว แต่ตัวดิอาซเองก็ต้องการย้าย เขาเคยพยายามขอออกตั้งแต่ซัมเมอร์ 2024 เพื่อไปแมนฯ ซิตี้ แต่สโมสรยังไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งบาเยิร์นยื่นข้อเสนอที่มีโครงสร้างชัดเจน ค่าตัวรวมไปได้ถึง 65.5 ล้านปอนด์ ในขณะที่นักเตะอายุ 28 ปี และกำลังจะเข้าสู่ช่วงที่ต้องเซ็นสัญญาใหญ่ฉบับสุดท้ายในอาชีพ

    คาร์ราเกอร์อธิบายว่า ฝั่งบอร์ดลิเวอร์พูลมองเรื่องนี้ในเชิง “การลงทุน” มากกว่าความรู้สึก หากต่อสัญญาใหม่ให้ดิอาซ เขาจะต้องได้ค่าเหนื่อยระดับสูงมาก และสัญญาจะลากยาวไปถึงช่วงอายุ 31–32 ปีขึ้นไป ซึ่งหมายถึงการจ่ายค่าจ้างระดับท็อปให้ผู้เล่นที่อาจไม่ได้เป็น “หัวใจหลัก” แบบซาลาห์หรือมาเน่ในช่วงพีค การรับเงินก้อนใหญ่จากบาเยิร์นในจังหวะที่นักเตะยังมีมูลค่าสูงจึงถูกมองว่าเป็นดีลที่ “ฉลาดในเชิงธุรกิจ”

    คาร์ราไม่ได้บอกว่าดิอาซไม่ดี เขาย้ำว่า “ดิอาซเป็นนักเตะที่ดีมากสำหรับลิเวอร์พูล” แต่เขาก็พูดตรง ๆ ว่า ดิอาซ “ไม่ถึงระดับเดียวกับ ฟีร์มิโน่ มาเน่ หรือ ซาลาห์” ทั้งในแง่ความสำคัญทางแท็กติกและอิมแพ็กต่อเกม เขาเป็นปีกที่สร้างสีสัน เลี้ยงกินตัวได้ ยิงประตูสำคัญได้บ้าง แต่ยังไม่ใช่ตัวแบกทีมที่ถูกออกแบบให้เป็นตัวเลือกแรกทุกครั้งที่ต้องการประตู

    อีกประเด็นที่ เจมี คาร์ราเกอร์ หยิบขึ้นมาคือ “คุณภาพของลีก” เขามองว่าบุนเดสลีกาไม่ได้เข้มข้นเท่าพรีเมียร์ลีก การที่ดิอาซระเบิดฟอร์มในเยอรมนีไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำตัวเลขแบบเดียวกันในอังกฤษได้ง่าย ๆ เพราะจังหวะเกม การปะทะ ความกดดัน และคุณภาพแนวรับที่ต้องเจอทุกสัปดาห์ต่างกันมาก เขาใช้คำอธิบายในเชิงว่า “เขาจะดูดีในบุนเดสลีกาเสมอ แต่ไม่ควรใช้ตรงนั้นมาย้อนตัดสินดีลขายของลิเวอร์พูลแบบผิวเผิน”

    สิ่งที่คาร์รามองว่า “พลาด” จริง ๆ ไม่ใช่การขายดิอาซ แต่คือ “การไม่หาตัวแทนอย่างชัดเจน” ลิเวอร์พูลปล่อยปีกซ้ายที่เล่นได้ทั้งริมเส้นและตัดเข้าในออกจากทีม แต่กลับยังไม่มีคนที่เข้ามาเติมช่องว่างตรงนั้นแบบเต็ม ๆ เขาพูดถึงความหวังในตัว ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ ว่าหากเจ้าหนูเยอรมันสามารถพัฒนาต่อเนื่องและยืนระยะได้ เขาอาจไม่ใช่ปีกขนานแท้ แต่เป็น “ตัวกลางกึ่งซ้าย” ที่เล่นระหว่างไลน์ ช่วยเชื่อมเกมและสร้างสรรค์โอกาสจากฝั่งซ้ายได้ ซึ่งหากสำเร็จ เขาจะกลายเป็นคำตอบใหม่ที่ต่างจากดิอาซ แต่ให้ผลลัพธ์เชิงเกมรุกในอีกแบบหนึ่ง

    ในฝั่งของดีลซื้อ คาร์ราไม่ปฏิเสธว่า การใช้เงินกว่า 450 ล้านปอนด์ในซัมเมอร์เดียวแล้วทีมยังขาดความต่อเนื่องย่อมทำให้แรงกดดันถาโถมมาที่ Arne Slot อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาต้องรีบทำให้ทีม “เข้าที่” ให้เร็วที่สุด เพราะแฟนบอลจะไม่รอคำว่า “กำลังก่อร่างสร้างทีม” ไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากผ่านยุคทองของคล็อปป์ที่แฟนหงส์คุ้นเคยกับการลุ้นแชมป์แทบทุกปี

    แต่ในจังหวะที่ทุกอย่างเหมือนหมุนกลับมาจี้ Slot ทั้งเรื่องฟอร์มและการซื้อขายนักเตะ เจมี คาร์ราเกอร์ กลับเลือกที่จะยืนข้างบอร์ดบริหารในดีลของดิอาซ และพยายาม “แยกประเด็น” ระหว่างการจัดการสัญญา–โครงสร้างค่าเหนื่อย กับการจัดการแท็กติก–ฟอร์มในสนาม เขามองว่าบอร์ดทำการบ้านมาดีในเชิงธุรกิจ เพียงแต่ทีมยังไม่สามารถใช้เงินที่ได้มาเปลี่ยนเป็นคุณภาพในสนามแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่านั้น

    นอกจากประเด็นของดิอาซแล้ว คาร์ราเกอร์ยังพูดถึงอีกชื่อที่หนีไม่พ้นทุกครั้งที่พูดถึงลิเวอร์พูลในยุคปัจจุบัน นั่นคือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แน่นอนว่าฤดูกาลนี้คือปีแรกที่แฟนบอลจำนวนมากรู้สึกว่า “ซาลาห์ไม่เหมือนเดิม” ตัวเลขการทำประตูและอิมแพ็กดูดรอปลงเมื่อเทียบกับมาตรฐานระดับ 30 ประตูต่อฤดูกาลที่เขาเคยทำไว้ แต่คาร์รามองว่าคำวิจารณ์หลายอย่างเริ่ม “เกินจริง” ไปไกล

    เขาแยกเป็นสองส่วนชัดเจนว่า “นอกสนาม” เขาเคยวิจารณ์ซาลาห์เรื่องบางการตัดสินใจหรือข่าวลือสัญญา แต่ “ในสนาม” เขาคิดว่าซาลาห์ยังโดนด่ามากกว่าที่ควร เพราะอย่าลืมว่าทีมทั้งทีมกำลังเล่นได้ไม่ดี เมื่อโครงสร้างโดยรวมมีปัญหา ตัวรุกทุกคนย่อมได้รับผลกระทบ เขาชี้ว่า นี่คือครั้งแรกในรอบ 7–8 ปีที่ซาลาห์เปิดฤดูกาลด้วยฟอร์มไม่เปรี้ยง แต่การใช้สิ่งนี้มากดทับทุกอย่างที่เขาทำมาในอดีตถือว่าไม่ยุติธรรม

    ในมุมแท็กติก คาร์ราเกอร์มองเกมบุกของลิเวอร์พูลที่ลอนดอน สเตเดียม เจอเวสต์แฮม ว่าเป็น “โมเดลพิเศษเฉพาะเกม” ไม่ใช่แบบแผนที่ควรใช้ระยะยาว เพราะทีมลงเล่นแทบจะ “ไม่มีปีกขวาตัวจริง” โจ โกเมซ ถูกดันเติมเกมสูงกว่าที่เคย แต่เขาไม่ใช่ฟูลแบ็กสายบุกแบบเทรนต์ และยังไม่มีตัวรุกริมเส้นที่เป็นปีกธรรมชาติมายืนอยู่หน้าเขา ทำให้ภาระทั้งรับทั้งรุกในฝั่งขวาถูกโยนใส่โกเมซมากเกินไป ซึ่งคาร์รามองว่าทำได้ในฐานะแผนเฉพาะกิจ แต่ไม่ควรใช้เป็นแม่แบบสร้างทีมระยะยาว

    เขาย้ำชัดว่า “ถ้าดูโครงสร้างทีมตอนนี้ คุณแทบไม่มีตัวหมุนเวียนสำหรับตำแหน่งริมเส้นเลย” โคดี้ กั๊กโป และซาลาห์แทบต้องเล่นทุกเกมเพราะไม่มีตัวสำรองธรรมชาติที่พร้อมจะลงมายืนแทนแบบไม่ให้คุณภาพตกมากเกินไป นี่คืออีกมิติที่เชื่อมโยงกลับไปเรื่องการขายดิอาซแต่ไม่มีตัวแทน เพราะมันทำให้ภาระที่ควรถูกเฉลี่ยไปยังสามปีกหลัก กลายเป็นภาระหนักบนไหล่ของคนที่เหลืออยู่

    ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ คาร์ราเกอร์จึงสรุปค่อนข้างชัดเจนว่า ซาลาห์ “ควรกลับไปสตาร์ตเป็นตัวจริง” ในเกมเจอซันเดอร์แลนด์ การพักเขาในบางเกมเยือนอาจมีเหตุผลเรื่องสภาพร่างกายและการโรเตชัน แต่การมองว่า “ชนะเวสต์แฮมได้โดยไม่มีซาลาห์ แสดงว่าไม่จำเป็นต้องใช้เขา” เป็นข้อสรุปที่อันตรายต่อวิธีคิดระยะยาวของทีม เขาเชื่อว่าลิเวอร์พูลยังต้องใช้ซาลาห์เป็นแกนหลักอีกอย่างน้อยหนึ่งฤดูกาล เพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครแสดงให้เห็นชัดเจนว่าสามารถแบกเกมรุกแทนเขาได้

    อีกมุมที่น่าสนใจคือคำว่า “หัวหน้าสตาฟโค้ช ไม่ใช่เมเนเจอร์แบบเดิม” ที่คาร์ราพูดถึง Slot เขามองว่าโครงสร้างใหม่ของลิเวอร์พูลทำให้โค้ชมีอำนาจด้านตลาดนักเตะน้อยลงกว่ายุคก่อน บอร์ดบริหารและทีมตัวเลขจะเป็นคนตัดสินใจเรื่องสัญญา อายุ และโครงสร้างค่าจ้างในระยะยาว ส่วน Slot มีหน้าที่หลักคือการจัดการขุมกำลังที่มีให้ดีที่สุด นั่นหมายความว่า ต่อให้ Slot อยากรั้งดิอาซไว้ แต่ถ้าตัวเลขด้านการเงินและแผนค่าเหนื่อยบอกว่า “ควรขาย” เสียงสุดท้ายก็อาจมาจากข้างบนอยู่ดี

    อย่างไรก็ตาม คาร์ราไม่ได้ปล่อยให้ Slot หลุดจากความรับผิดชอบ เขายอมรับว่าด้วยงบเสริมทัพมหาศาล บวกกับสถานะทีมแชมป์เก่า การจะขอเวลาแบบไร้กรอบก็ดูจะมากเกินไป เขาเชื่อว่าสิ่งที่แฟนบอลต้องการเห็นไม่ใช่แค่ชัยชนะในบางเกม แต่คือ “ตัวตน” ที่ชัดเจนในสนามว่า ลิเวอร์พูลยุคใหม่ภายใต้ Slot จะเล่นแบบไหน โจมตีอย่างไร เพรสซิ่งระดับไหน และบริหารสภาพร่างกายของแกนหลักอย่างซาลาห์อย่างไรให้สมดุล

    เมื่อเอาทุกเรื่องมาผูกโยงกัน ตั้งแต่ดีลของดิอาซ สถานะของซาลาห์ ฟอร์มของทีม และโครงสร้างสโมสรใหม่ ภาพที่ได้คือ “ลิเวอร์พูลกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่ซับซ้อนกว่าที่เห็นจากสกอร์ในสนาม” การตัดสินใจหลายอย่างอาจดูขัดหูในระยะสั้น แต่ถูกออกแบบมาภายใต้กรอบการเงินและแผนระยะยาวที่เข้มงวดกว่าเดิม โจทย์ของ Slot คือการทำให้พลังในสนาม “ตามทัน” ความคาดหวังจากตัวเลขที่สโมสรลงทุนไป

    ส่วนแฟนบอลเองก็ต้องเลือกระหว่างการมองทุกอย่างผ่านอารมณ์ของผลการแข่งขันนัดล่าสุด หรือถอยออกมามองเป็นภาพใหญ่แบบที่คาร์ราเกอร์พยายามอธิบาย ว่าดีลหนึ่งดีลอาจดีหรือไม่ดีไม่ได้วัดจากตัวเลขประตู–แอสซิสต์ของนักเตะที่ย้ายออกไปเพียงอย่างเดียว แต่ต้องวัดว่าทีมสามารถเอาทรัพยากรนั้นกลับมาสร้าง “ทีมใหม่” ที่สมดุลกว่าเดิมได้หรือไม่ต่างหาก

    ถ้าคุณชอบวิเคราะห์ดีลฟุตบอลแบบมองทั้ง ตัวเลข และ แท็กติก ลองเปลี่ยนจากวิเคราะห์ตลาดนักเตะ มาดูตลาดการเงินส่วนตัวของคุณผ่านมุมมองเดียวกันได้ด้วย ufa365 เพราะการวางแผนแต่ละสเต็ปอย่างมีข้อมูลรองรับ อาจทำให้การตัดสินใจครั้งต่อไปของคุณคมกว่าตลาดซื้อขายนักเตะ และเปลี่ยนฤดูกาลการเงินของคุณให้ดูดีขึ้นได้ในแบบที่ไม่ต้องพึ่งดราม่าช่วงทดเวลาเจ็บเลย

  • เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์  ตกต่ำอีกครั้งหลังเรอัล มาดริด อำลาลิเวอร์พูล ufa365

    เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ตกต่ำอีกครั้งหลังเรอัล มาดริด อำลาลิเวอร์พูล ufa365

    เรอัล มาดริด เซ็นสัญญากับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบบไม่มีค่าตัวจากลิเวอร์พูล พร้อมรับมือปัญหาใหม่กับการเริ่มต้นชีวิตในสเปนที่ท้าทายอยู่แล้ว ufa365

    หลังจากบอกลาแอนฟิลด์แบบที่แฟนลิเวอร์พูลหลายคนยังทำใจไม่ทัน การย้ายไปเรอัลมาดริดแบบฟรีเอเยนต์ของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์–อาร์โนลด์ ถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญของอาชีพ ทั้งในเชิงชื่อชั้นสโมสรและโอกาสรีเซ็ตบทบาทของตัวเองใหม่ในเวทีลา ลีกา แต่แทนที่ภาพจะเริ่มต้นอย่างสวยหรู เส้นทางของเขาที่ซานติอาโก เบร์นาเบวกลับเต็มไปด้วยคำว่า “ท้าทาย” มากกว่าที่ใครคาดคิด ทั้งเรื่องฟอร์ม เสียงวิจารณ์จากสื่อสเปน และล่าสุดคืออาการบาดเจ็บที่ทำให้เสียงถามถึงอนาคตของเขาดังขึ้นกว่าเดิม

    ในเกมลีกกับแอธเลติก คลับ เทรนต์ถูกส่งลงเป็นตัวจริงโดย ฆาบี อลอนโซ่ และดูเหมือนว่าวันนั้นจะเป็นคืนที่เขาส่งสัญญาณตอบกลับเสียงวิจารณ์ได้อย่างสวยงาม เมื่อเขาเปิดบอลให้ คีเลียน เอ็มบัปเป้ ยิงประตูแรก ก่อนที่สตาร์ทีมชาติฝรั่งเศสจะบวกเพิ่มอีกลูก และเอดูอาร์โด้ คามาวิงก้ายิงประตูของตัวเอง เรอัลมาดริดดูจะคุมเกมได้เหนือกว่าชัดเจน ทว่าความกังวลกลับมาเยือนอีกครั้งเมื่อเทรนต์โดนเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 55 เพราะมีอาการเหมือนบาดเจ็บกล้ามเนื้อ

    ภาพของเขาที่เดินออกจากสนามพร้อมสีหน้าเจ็บปวด กลายเป็นอีกหนึ่ง “จุดต่ำใหม่” ในช่วงเริ่มต้นเส้นทางกับยักษ์ใหญ่ลา ลีกา ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน เขาเพิ่งตกเป็นเป้าถูกสื่อในสเปนสับเละแบบไม่ไว้หน้า โดยเฉพาะหลังเกมเสมอคิโรน่า 1-1 และการเสียสามประตูให้โอลิมเปียกอสในเกมยุโรป

    หนึ่งในเสียงวิจารณ์ที่ดังก้องคือบทความของ อัลเฟรโด้ เรลาโญ นักเขียนชื่อดังของสเปน เขามองว่าเทรนต์ในวันนี้ดู “หลงทาง” และ “เบาบาง” เมื่อเทียบกับภาพที่แฟนบอลอังกฤษเคยเชิดชู เขาใช้คำเปรียบเทียบว่าเทรนต์เหมือน “กระต่ายที่โดนไฟหน้ารถส่องใส่” ยืนงง ๆ ในสนาม เกมเปิดไม่เนียน การซ้อนเกมรับไม่มั่นใจ และบางครั้งดูไม่รู้ว่าจะยืนตรงไหนจึงจะเหมาะกับจังหวะของทีม

    มุมมองดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความต่างของ “เลนส์” ที่ใช้มองเทรนต์ในอังกฤษกับในสเปน เพราะแฟนพรีเมียร์ลีกคุ้นเคยกับเขาในฐานะแบ็กขวาสายเพลย์เมกเกอร์ คอยวางบอลยาว เปิดครอส และยิงฟรีคิก แต่ในลา ลีกา แฟนเรอัลมาดริดเห็นด้านที่ต่างออกไป เกมรับแบบตัวต่อตัว พื้นที่หลังแบ็กที่ถูกโจมตีบ่อย และการตัดสินใจยามทีมต้องตั้งรับลึก

    อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีแต่เสียงลบเท่านั้น สื่อดังอย่าง AS ยังชี้ให้เห็นด้านบวกของเขา โดยยอมรับว่าคุณภาพลูกนิ่งของเทรนต์ยังทรงพลังเหมือนเดิม และกำลัง “กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญลูกตั้งเตะของทีม” ภายใต้การคุมทีมของอลอนโซ่ การทำแอสซิสต์ให้เอ็มบัปเป้ได้ในเกมล่าสุดก็เป็นหลักฐานชัดว่าเทรนต์ยังสามารถสร้างความแตกต่างได้ทุกครั้งที่ยืนอยู่หลังบอล

    สิ่งที่ทำให้หลายคนห่วงคืออาการบาดเจ็บครั้งนี้ เพราะก่อนหน้านั้นเขาก็เพิ่งหายจากอาการเดี้ยงที่ทำให้ต้องพักไปหลายสัปดาห์ ฟุตเวิร์กของเขาที่เคยเป็นจุดเด่นกลับถูกตั้งคำถามว่า ร่างกายจะไหวแค่ไหนในลีกที่มีจังหวะบุกสวนกลับรวดเร็วและต้องวิ่งไล่ปิดพื้นที่แบบไม่หยุด การโดนเปลี่ยนตัวออกจากสนามเพราะเจ็บ ทั้งที่เพิ่งเริ่มเรียกความมั่นใจได้จากแอสซิสต์สวย ๆ จึงเหมือนถูกดึงกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

    โปรแกรมต่อไปของมาดริดก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ผ่อนคลายลงเท่าไรนัก พวกเขายังต้องเจอกับเซลต้า บีโก้ในลีก ก่อนเปิดบ้านต้อนรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เกมใหญ่ที่ทุกตำแหน่งบนสนามจะถูกจับจ้องเป็นพิเศษ ถ้าเทรนต์ไม่พร้อมลงเล่น หรือกลับมาทันแต่ยังไม่ฟิตเต็มร้อย เขาก็อาจเสียโอกาสสำคัญที่จะพิสูจน์ตัวเองบนเวทียุโรปในสีเสื้อใหม่

    เมื่อมองย้อนกลับไปที่การย้ายออกจากแอนฟิลด์ แฟนลิเวอร์พูลจำนวนไม่น้อยมองว่าทีม “เอาอยู่” ได้ดีในช่วงแรก แม้จะเสียแบ็กขวาคนสำคัญแบบฟรี ๆ ก็ตาม ลิเวอร์พูลออกสตาร์ตฤดูกาลด้วยชัยชนะหกนัดรวดในลีก ทำให้คำถามว่า “คิดถึงเทรนต์ไหม” ดูจะเงียบลงชั่วคราว แต่ปัญหาก็เริ่มโผล่ให้เห็นอย่างชัดเจนตรงตำแหน่งเดิมที่เคยเป็นของเขา

    การเสริม เจเรมี่ ฟริมปง ถูกคาดหวังว่าจะช่วยเติมสปีดและมิติการบุกริมเส้นด้านขวา ทว่าอาการบาดเจ็บกลับเข้ามาทำลายแผน ส่วน คอนอร์ แบรดลีย์ ก็ต้องเจอปัญหาสภาพร่างกายเช่นกัน จนถึงขั้นที่ เคอร์ติส โจนส์ และ โดมินิค โซบอซไล เคยถูกถอยลงมาเล่นแบ็กขวาในบางช่วง ซึ่งเป็นสัญญาณชัดว่าทีมกำลังขาด “ตัวเชี่ยวชาญเฉพาะทาง” ในตำแหน่งสำคัญนี้

    สถานการณ์เริ่มนิ่งขึ้นเมื่อ โจ โกเมซ ถูกจับมายืนฟูลแบ็กขวาเต็มตัวในเกมชนะเวสต์แฮม และได้รับโอกาสต่อเนื่องในเกมกับซันเดอร์แลนด์ ความแข็งแกร่งด้านเกมรับ การอ่านเกม และประสบการณ์จากการยืนหลายตำแหน่งในแนวรับช่วยให้ฝั่งขวาดูเหนียวแน่นขึ้น แม้อาจจะไม่ได้มีลูกเปิดบอลหวือหวาแบบเทรนต์ แต่ในมุมมองของ Arne Slot การได้ฟูลแบ็กที่บาลานซ์เกมรุก–รับได้ดี อาจเป็นคำตอบที่เหมาะกับโครงสร้างทีมชุดนี้มากกว่าในระยะสั้น

    สำหรับเทรนต์เอง ภาพที่เขาถูกโห่ที่แอนฟิลด์ในเกมกลับมาเยือนถิ่นเก่าในฐานะผู้เล่นเรอัลมาดริด คืออีกหนึ่งช่วงเวลาหนักหน่วงทางอารมณ์ จากการเคยเป็น “เด็กบ้านเรา” ที่เติบโตมาจากอะคาเดมี จนยืนเป็นสัญลักษณ์ของลิเวอร์พูลยุคใหม่ การต้องกลับมาในฐานะคู่แข่งและโดนเสียงบูลั่นสนาม เป็นบททดสอบด้านจิตใจไม่แพ้การต่อสู้ในสนามจริง

    ฝั่งอลอนโซ่ในฐานะกุนซือ เขาออกมาปกป้องลูกทีมคนสำคัญอย่างชัดเจน เขาย้ำต่อสาธารณะว่า “เทรนต์คือผู้เล่นระดับท็อป และเราจำเป็นต้องมีเขา” การที่โค้ชยอมรับว่า ปีแรกในสเปนคือช่วงเวลาปรับตัวย่อมเป็นเรื่องปกติ สะท้อนให้เห็นว่าเรอัลมาดริดไม่ได้มองดีลดึงเทรนต์มาเพียงเพราะเรื่องการตลาด แต่เห็นคุณค่าในบทบาทระยะยาวทั้งในสนามและในห้องแต่งตัว

    คำพูดของอลอนโซ่ยังชี้ให้เห็นอีกว่า เทรนต์เองก็ “เรียกร้องจากตัวเองสูงมาก” ซึ่งทั้งดีและเสี่ยง ในด้านหนึ่งมันผลักให้เขาไม่ยอมอยู่ในคอมฟอร์ตโซน แต่อีกด้าน หากฟอร์มไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ การกดดันตัวเองซ้ำ ๆ ก็อาจกัดกินความมั่นใจอย่างช้า ๆ

    หากวิเคราะห์เชิงแท็กติก จุดเปลี่ยนสำคัญคือบทบาทของเทรนต์ในทีมใหม่แตกต่างจากสมัยอยู่ลิเวอร์พูลอย่างเห็นได้ชัด ในระบบของคล็อปป์ เขาเล่นเป็นแบ็กขวาที่ “เลี้ยวเข้ากลาง” ทำหน้าที่เหมือนมิดฟิลด์ตัวจ่ายบอลในหลายจังหวะ เปิดเกมจากแดนหลัง สลับกับการซ้อนด้านในของมิดฟิลด์ตัวรับ แต่ในมาดริดของอลอนโซ่ เขาต้องรับผิดชอบทั้งระยะวิ่งลงมาป้องกันริมเส้น การดวลตัวต่อตัว และการปิดช่องสวนกลับของคู่แข่งในลีกที่มีปีกความเร็วสูงแทบทุกทีม

    ความต่างของสปีดเกมและรูปแบบการเพรสซิ่งทำให้ข้อจำกัดด้านเกมรับของเทรนต์ถูกขยายให้สื่อและแฟนบอลสเปนเห็นชัดเจนขึ้น ทว่าในอีกมุมหนึ่ง การที่เขายังสร้างโอกาสจากลูกตั้งเตะได้อย่างต่อเนื่องก็เป็นหลักฐานว่าคุณภาพเทคนิคของเขายังอยู่ครบ เพียงแต่ยังหาจุดสมดุลระหว่าง “จุดแข็ง” กับ “โจทย์ใหม่” ไม่เจอเท่านั้น

    ในระยะกลาง ภารกิจใหญ่ของเทรนต์คือการพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้ย้ายมาลา ลีกาเพื่อย้อนรอยอดีตของดาวดังที่มาแล้วดับ แต่ต้องการเขียนบทใหม่ให้ตัวเองในสีเสื้อขาวล้วน เขาต้องเรียนรู้ภาษาฟุตบอลแบบสเปน ทั้งจังหวะการยืนตำแหน่ง การบีบพื้นที่เป็นทีม และการตัดสินใจในช่วงที่ทีมเสียการควบคุมเกม ซึ่งต่างจากจังหวะอัดหน้ายาว ๆ ในพรีเมียร์ลีกอย่างสิ้นเชิง

    ในขณะเดียวกัน ลิเวอร์พูลเองก็กำลังเดินหน้าในยุคใหม่โดยไม่มีเขาอย่างถาวร การแก้ปัญหาตำแหน่งแบ็กขวาด้วยการใช้โกเมซ หรือรอให้ฟริมปงกับแบรดลีย์ฟิตเต็มร้อยคือโจทย์ที่ Slot ต้องแก้ไปพร้อมกับการสร้างโครงสร้างเกมรุกชุดใหม่ การไม่มีเทรนต์อาจทำให้ทีมเสียอาวุธเรื่องบอลยาวและลูกเซ็ตพีซบางแบบไป แต่ก็เปิดพื้นที่ให้ทีมลองโมเดลแท็กติกใหม่ที่ไม่ผูกติดกับคนใดคนหนึ่งมากเกินไป

    สุดท้ายแล้ว เส้นทางของเทรนต์กับเรอัลมาดริดจะถูกตัดสินไม่ใช่จากไม่กี่เดือนแรก แต่จากว่าหลังผ่านพ้นช่วง “ปีปรับตัว” เขาจะกลับมาเป็นตัวเองในแบบที่แฟนบอลเชื่อมั่นได้หรือไม่ อาการบาดเจ็บครั้งล่าสุดอาจเป็นเพียงอีกหนึ่งด่านในเส้นทางที่ขรุขระ แต่หากเขากลับมาแล้วแข็งแกร่งกว่าเดิม เสียงวิจารณ์ที่เคยตีตราว่าเขา “งง ๆ ด้อย ๆ” ก็อาจถูกย้อนกลับด้วยฟอร์มในสนามมากกว่าคำพูดใด ๆ

    ถ้าคุณอ่านเส้นทางของเทรนต์แล้วรู้สึกถึงคำว่าจังหวะชีวิต ชัดกว่าที่เคย ลองใช้สายตาแบบเดียวกันอ่านจังหวะการตัดสินใจด้านการเงินของตัวเองผ่าน ufa365 ดูสักครั้งไหม เพราะบางทีหนึ่งการเลือกที่มั่นใจและมีข้อมูลรองรับ อาจเปลี่ยนเกมการเงินของคุณได้ไม่ต่างจากฟรีคิกโค้ง ๆ ลูกสำคัญในนัดที่ไม่มีใครยอมพลาดเลย

  • คำพูดเป๊ป กวาร์ดิโอล่า เผยข่าวดีเชลซีลุ้นแชมป์ ufa365

    คำพูดเป๊ป กวาร์ดิโอล่า เผยข่าวดีเชลซีลุ้นแชมป์ ufa365

    คำพูดเป๊ป กวาร์ดิโอลา ส่งสัญญาณเชลซีลุ้นแชมป์จริง หลังแมนซิตี้รอดดราม่าเฉือนฟูแลม 5-4 ufa365

    ค่ำคืนที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกเฉือนฟูแลมแบบหายใจไม่ทั่วท้อง 5-4 ไม่ได้ทิ้งไว้แค่สกอร์สุดบ้าคลั่งเท่านั้น แต่ยังทิ้ง ข้อความสำคัญ”จาก คำพูดเป๊ป กวาร์ดิโอลา เกี่ยวกับการแข่งขันลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดถึงอาร์เซนอล และ “เชลซีของเอ็นโซ่ มาเรสก้า” ว่ากำลังไล่กดดันกันอย่างสูสีมากกว่าที่หลายคนคิด

    หลังจบเกมที่คราเวน ค็อตเทจ ซิตี้นำห่างถึง 5-1 ในนาทีที่ 54 ก่อนจะโดนฟูแลมยิงไล่มารัว ๆ อีกสามลูกในช่วงเวลาเพียง 21 นาที ทำให้ช่วงท้ายเกมเต็มไปด้วยความกังวล ทั้งในสนามและข้างสนาม เป๊ปเองก็ยอมรับว่าแมตช์นี้ “หวิว” กว่าที่ควรจะเป็น แต่ในขณะเดียวกัน ผลชนะก็ช่วยให้ทีมของเขาขยับเข้าใกล้อาร์เซนอล เหลือแค่สองแต้ม และยังทำให้คำพูดของเขาเรื่องการไล่ล่าจ่าฝูงมีน้ำหนักมากขึ้นด้วย

    ช่องว่างระหว่างซิตี้ – อาร์เซนอล – เชลซี ที่บางลงเรื่อย ๆ

    ด้วยผลชนะเหนือฟูแลม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ตอนนี้ตามหลังอาร์เซนอลอยู่สองคะแนน ขณะที่อาร์เซนอลมีโอกาสขยับหนีไปห้าคะแนนอีกครั้ง หากเปิดบ้านชนะเบรนท์ฟอร์ดได้ในคืนวันพุธ ฝั่งเชลซีเองก็ยังอยู่ในภาพลุ้นแชมป์แบบเงียบ ๆ หากบุกชนะลีดส์ ยูไนเต็ดได้ พวกเขาจะกลับมาหายใจรดต้นคอแมนซิตี้ห่างแค่หนึ่งแต้มเท่านั้น

    พูดง่าย ๆ คือ ตอนนี้ภาพบนหัวตารางเริ่มชัดแล้วว่า ไม่ได้มีแค่ “สองม้า” อย่างอาร์เซนอลกับซิตี้ แต่เชลซีกำลังไต่ขึ้นมาเป็นม้าตัวที่สาม ที่ทั้งเล่นสนุก ดูดี และมีศักยภาพจะอยู่ในเส้นทางไปจนโค้งสุดท้ายของซีซัน หากรักษามาตรฐานได้ต่อเนื่อง

    เป๊ปยอมรับ: อาร์เซนอลยังโหด และการไล่ทันไม่ใช่เรื่องง่าย

    เมื่อถูกถามถึงการลุ้นแชมป์ เป๊ปไม่ลืมยกเครดิตให้อาร์เซนอลแบบชัดเจน เขาบอกตรง ๆ ว่า “อาร์เซนอลทั้งแข็งแกร่งและแน่นมาก” และยอมรับว่าถ้าซิตี้พลาดหลุดแต้มเมื่อไร งานลุ้นแชมป์จะยากขึ้นทันที

    เขาอธิบายว่าหนึ่งในบทเรียนที่ได้จากการทำทีมในพรีเมียร์ลีกมานาน คือ ฤดูกาลนี้ “ยาวมาก” และสิ่งสำคัญไม่ใช่การนำตารางในเดือนธันวาคม แต่คือการ “เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ” ในระหว่างซีซัน ทีมที่คว้าแชมป์ได้ในท้ายที่สุด มักไม่ใช่ทีมที่ออกตัวแรงที่สุด แต่คือทีมที่ค่อย ๆ เก่งขึ้น คงเส้นคงวาขึ้น รับมือแรงกดดันได้ดีขึ้นเมื่อเดือนต่าง ๆ เดินไป

    เป๊ปยังย้ำว่า เขาคือกุนซืออาวุโสที่สุดในพรีเมียร์ลีกตอนนี้ และผ่านประสบการณ์ลุ้นแชมป์มาหลายครั้ง หลายฤดูกาล ซิตี้เคยอยู่ในสถานการณ์ตามหลังคู่แข่งในเดือนธันวาคม มกราคม หรือกุมภาพันธ์ แต่สุดท้ายก็เร่งเครื่องกลับมาคว้าแชมป์ได้ เพราะทีม “โตขึ้น” ในช่วงเวลาสำคัญ ไม่ใช่แค่บินสูงในช่วงต้นฤดูกาลแล้วแผ่ว

    เมื่อเป๊ปพูดถึงเชลซี  ไม่ใช่แค่คำชมแบบผ่าน ๆ

    สิ่งที่ทำให้บทสัมภาษณ์หลังเกมของเป๊ปน่าสนใจเป็นพิเศษคือ การที่เขาเอ่ยถึงเชลซีของเอ็นโซ่ มาเรสก้าแบบเจาะจง เขาบอกว่า “เชลซีทำให้ผมประทับใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ วัน ภายใต้การคุมทีมของเอ็นโซ่”

    นี่ไม่ใช่คำพูดที่เป๊ปจะโยนให้ใครง่าย ๆ เพราะสไตล์ของเขามักชมทีมคู่แข่งบนพื้นฐานของ “โครงสร้าง” และ “รายละเอียดในเกม” หมายความว่า เชลซีไม่ใช่แค่ชนะหรือเสมอทีมใหญ่ แต่รูปแบบการเล่นที่แสดงออกมา ทำให้กุนซืออย่างเขาเห็นเค้าโครงของทีมลุ้นแชมป์ในอนาคต

    เกมที่เสมอกับอาร์เซนอล 1-1 ที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ คือจุดเปลี่ยนสำคัญของภาพลักษณ์เชลซีใหม่ พวกเขาเล่นได้ดีกว่าในช่วงที่ยังมี 11 คนเท่ากัน คุมเกม สร้างโอกาส และถ้าไม่มีใบแดงของมอยเซส ไกเซโด้ หลายคนเชื่อว่าเกมนั้นอาจเป็นสามคะแนนเต็มของสิงห์บลูส์ด้วยซ้ำ ต่อให้เหลือ 10 คน เชลซีก็ยังเล่นด้วยโครงสร้างที่ชัด ไม่ได้แตกกระจุยหรือพังยับเมื่อเสียเปรียบตัวผู้เล่น

    สำหรับเป๊ป การเห็นทีมหนุ่มอย่างเชลซี “ไม่แตก” ในเกมใหญ่ และยังคงระเบียบในเกมรับ เกมรุก และวิธีการยืนตำแหน่ง นั่นคือสัญญาณของทีมที่กำลังจะกลายเป็นคู่แข่งในเส้นทางลุ้นแชมป์อย่างแท้จริง

    มาเรสก้า: ขอรอถึงกุมภาพันธ์ก่อนคุยเรื่องคำว่า ‘ลุ้นแชมป์’

    ฝั่งเอ็นโซ่ มาเรสก้าเองกลับเลือกใช้โทนเสียงที่ระมัดระวังมากกว่า เขาชี้ชัดว่า “ตอนนี้ยังเร็วเกินไป” ที่จะพูดถึงคำว่า “ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก” อย่างเต็มปาก เขาอธิบายว่า ถ้าเชลซียังยืนอยู่ในตำแหน่งปัจจุบันได้ในเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม ถึงเวลานั้นค่อยพูดว่าทีมเป็น “แคนดิเดตแชมป์” ก็ยังไม่สาย

    เหตุผลที่เขาเน้นเวลาช่วงสองเดือนข้างหน้า เป็นเพราะตารางแข่งของเชลซีหนักมากในเดือนธันวาคมและมกราคม มีโปรแกรมรวมกันถึง 16 นัดในสองเดือน ซึ่งถือว่าโหดสุด ๆ ทั้งในแง่ร่างกายและจิตใจ ผู้เล่นต้องรับมือทั้งการเดินทาง การฟื้นฟูสภาพร่างกาย และความกดดันจากผลการแข่งขันที่อาจเปลี่ยนหน้าตารางในเวลาไม่กี่วัน

    มาเรสก้ารู้ดีว่า ทีมหนุ่มแบบเชลซี จุดแข็งคือพลังกายและความกระหาย แต่จุดที่ต้องระวังคือความสม่ำเสมอและสมาธิ ถ้าผ่านสองเดือนมรณะนี้ไปได้โดยไม่หลุดกราฟฟอร์มไปไกล เชลซีจะไม่ใช่แค่ทีม “โหดในสายตานักวิเคราะห์” แต่จะกลายเป็นทีมที่ตัวเลขบนตารางคะแนนยืนยันชัดว่าคือผู้ท้าชิงถ้วยแชมป์จริง ๆ

    ดราม่าที่คราเวน ค็อตเทจ: ซิตี้ยิง 5 แต่เกือบไม่ชนะ

    ย้อนกลับมาที่ต้นเรื่องของค่ำคืนนี้ เกมระหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้กับฟูแลม สกอร์ 5-4 บอกเราอย่างน้อยสองเรื่องพร้อมกัน เรื่องแรกคือ ซิตี้ยังคงมีพลังเกมรุกมหาศาล ยิงใครก็ได้ในลีกนี้หากเข้าฝัก แต่เรื่องที่สองคือ เกมรับของพวกเขาเองยังมีอาการ “เปราะบาง” ให้เห็น

    การนำห่างถึง 5-1 แล้วปล่อยให้คู่แข่งยิงคืนถึงสามลูกในเวลาสั้น ๆ ไม่ใช่ภาพที่ทีมแชมป์คุ้นชินกันมากนัก มันสะท้อนให้เห็นว่า แม้ทีมจะมีคุณภาพและประสบการณ์ลุ้นแชมป์ แต่ก็ยังต้อง “เติบโต” อีกในแง่การคุมจังหวะและการปิดเกมให้แน่นอนกว่าเดิม

    อย่างไรก็ตาม เป๊ปเลือกมองด้านบวกมากกว่า เขามองว่าการเดินออกจากสนามพร้อมสามแต้มในเกมที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน จะช่วยเสริมเมนทัลของทีมให้แข็งขึ้น และเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับช่วงโค้งต่อ ๆ ไปของฤดูกาล

    ศึกสามกุนซือ: เป๊ป – อาร์เตต้า – มาเรสก้า

    เมื่อพูดถึงการลุ้นแชมป์ฤดูกาลนี้ ชื่อของสามกุนซือที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคงหนีไม่พ้น เป๊ป กวาร์ดิโอลา, มิเกล อาร์เตต้า และเอ็นโซ่ มาเรสก้า ทั้งสามคนมีสายสัมพันธ์ทางฟุตบอลที่เชื่อมโยงกันอย่างน่าสนใจ

    • เป๊ป คือกุนซือรุ่นพี่ ผู้สร้างมาตรฐานใหม่ของฟุตบอลเกมรุกและการครองบอล
    • อาร์เตต้า คือศิษย์เก่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เคยเป็นผู้ช่วยของเป๊ป ก่อนจะย้ายไปสร้างทีมของตัวเองที่อาร์เซนอล
    • มาเรสก้า คืออีกคนที่เคยผ่านระบบของซิตี้ ทั้งในฐานะโค้ชเยาวชนและกุนซือทีมสำรอง ได้เรียนรู้แนวคิดการเล่นที่เน้นการครองบอล การขึ้นเกมจากแนวหลัง และการสร้างโครงสร้างทีมให้แน่น

    การที่เป๊ปออกมาชื่นชมเชลซีจึงไม่ใช่แค่คำชมส่วนตัวต่อมาเรสก้า แต่ยังสะท้อนว่า “ฟุตบอลสไตล์ซิตี้” กำลังแตกแขนงออกไปสู่คู่แข่งโดยตรง ทั้งอาร์เซนอลและเชลซี ที่ต่างหยิบแนวคิดเดียวกันไปปรับใช้ในแบบของตัวเอง

    หากฤดูกาลนี้จบลงด้วยการที่ทั้งสามทีมต่อสู้กันจนถึงโค้งสุดท้าย นี่จะเป็นหนึ่งในปีที่น่าสนใจที่สุดของพรีเมียร์ลีกยุคใหม่ เพราะมันไม่ใช่แค่การแย่งถ้วยระหว่างสโมสร แต่คือการ “ปะทะกันของปรัชญาฟุตบอล” จากรากเดียวกันแต่แตกกิ่งต่างกัน

    เส้นทางต่อจากนี้: แต้มเดียวอาจตัดสินทุกอย่าง

    เมื่อพรีเมียร์ลีกเดินเข้าช่วงกลางซีซัน แต้มทุกแต้มเริ่มมีความหมายมากขึ้นเรื่อย ๆ การพลาดเสมอในเกมที่ควรชนะ หรือการหลุดแพ้แบบไม่จำเป็น อาจเป็นจุดหักเหของเส้นทางลุ้นแชมป์ได้ทันที

    • อาร์เซนอล ต้องพิสูจน์ว่าความสม่ำเสมอที่แสดงออกมาในช่วงแรก สามารถรักษาไว้ได้เมื่อโปรแกรมถี่ขึ้นและความกดดันมากขึ้น
    • แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องพิสูจน์อีกครั้งว่า “เครื่องไล่ล่า” ของเป๊ปยังทำงานได้ดีในระยะยาว สามารถกดดันคู่แข่งจนหลุดฟอร์มได้เหมือนในหลายซีซันที่ผ่านมา
    • เชลซี ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า ผลงานยอดเยี่ยมในเกมใหญ่ไม่ได้เป็นแค่ “ช่วงฟอร์มดีชั่วคราว” แต่เป็นจุดเริ่มต้นของทีมที่เติบโตและพร้อมอยู่ในวงสนทนาลุ้นแชมป์จริง ๆ

    คำพูดของเป๊ปที่บอกว่า “ทีมที่ได้แชมป์คือต้องเติบโตขึ้นระหว่างฤดูกาล” จึงไม่ได้เป็นเพียงการบอกกับลูกทีมของเขาเอง แต่เหมือนเป็นเสียงสะท้อนถึงทั้งอาร์เซนอลและเชลซีด้วยว่า ใครรักษาการเติบโตนี้ไว้ได้ยาวที่สุด คน ๆ นั้นจะได้ยืนบนจุดสูงสุดตอนเดือนพฤษภาคม

    ถ้าคุณชอบตามเกมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบลึกกว่าข่าวทั่วไป ทั้งมุมมองแท็กติก ฟอร์มทีมใหญ่ และมุมวิเคราะห์ก่อนเตะ–หลังเตะ ลองเติมอรรถรสให้การเชียร์บอลของคุณ ด้วยสถิติและข้อมูลครบเครื่องสไตล์คอบอลตัวจริงกับ ufa365 แล้วทุกคืนบอลจะไม่ได้มีแค่ผลสกอร์ แต่เต็มไปด้วยโอกาสและมุมมองใหม่ ๆ ให้คุณได้ลุ้นมากกว่าเดิม

  • ดราม่า VAR เชลซี พบ อาร์เซนอล ufa365

    ดราม่า VAR เชลซี พบ อาร์เซนอล ufa365

    ดราม่า VAR เชลซี พบ อาร์เซนอล ถูกกล่าวหาว่าทำผิด กฎทอง ในจังหวะแดงไกเซโด้ ufa365

    ดราม่า VAR แมตช์ใหญ่ระหว่างเชลซีกับอาร์เซนอลที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ เต็มไปด้วยประเด็นให้พูดถึงทั้งในสนามและบนโซเชียล หนึ่งในจุดเดือดที่สุดคือจังหวะใบแดงของ มอยเซส ไกเซโด้ ที่ถูกไล่ออกจากสนามหลัง VAR แนะนำให้ผู้ตัดสิน แอนโธนี่ เทย์เลอร์ กลับไปดูจอมอนิเตอร์ข้างสนาม เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่เปลี่ยนรูปเกมทันที แต่ยังทำให้เกิดคำถามใหญ่ตามมาว่า VAR ถูกใช้ตาม “กฎทอง” ที่ตั้งไว้ หรือกำลังกลายเป็นเครื่องมือ “ตัดสินใหม่ทั้งจังหวะ” กันแน่

    ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ อดีตกองหน้าของเชลซีและลิเวอร์พูล ซึ่งรับหน้าที่เป็นกูรูวิเคราะห์เกมให้ Sky Sports ในวันนั้น ถึงกับพูดเป็นนัยว่าหนึ่งในหลักสำคัญของการใช้ VAR ถูกละเมิดไปแล้ว แม้เจ้าตัวจะยอมรับว่า เมื่อดูจากภาพช้าหลายมุมแล้ว การให้เป็นใบแดงก็ “ไม่ผิดนัก” ก็ตาม แต่เขากลับไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีการนำ VAR มาใช้ในจังหวะนี้เท่าไร

    จากเหลืองเป็นแดง จังหวะปะทะระหว่างไกเซโด้กับเมรีโน

    เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงกลางครึ่งแรก ไกเซโด้เข้าปะทะใส่ มิเกล เมรีโน กองกลางของอาร์เซนอล เขาพุ่งเข้าหาบอลแบบเร็วและแรง แต่พลาดโดนตัวคู่แข่งอย่างจัง ในจังหวะแรก เทย์เลอร์ควักใบเหลืองให้ไกเซโด้ ซึ่งถือเป็นการตัดสินแบบ “สด ๆ” ด้วยสายตาในสนาม

    อย่างไรก็ตาม ทีม VAR เข้ามาเช็กเหตุการณ์อย่างละเอียด และหลังจากทบทวนภาพช้าหลายครั้ง ก็ส่งสัญญาณแนะนำให้เทย์เลอร์ไปดูจอข้างสนามด้วยตัวเอง ช่วงเวลานั้นเองที่หลายคนเริ่มรู้สึกว่า “ดราม่ากำลังจะมา” เพราะในพรีเมียร์ลีก เราแทบคุ้นเคยแล้วว่า ถ้าผู้ตัดสินเดินไปดูจอข้างสนาม ส่วนใหญ่ผลลัพธ์มักลงเอยด้วยการ “เปลี่ยนคำตัดสินเดิม”

    เมื่อเทย์เลอร์ดูรีเพลย์ในมุมช้า เขาเห็นขาของไกเซโด้เหยียดตรง ใช้แรงค่อนข้างมาก และเข้าถึงคู่แข่งก่อนจะถึงบอล แม้จะเป็นการเข้าอย่างหวังเล่นบอล แต่ลักษณะจังหวะแบบนี้เข้าข่าย “ใช้กำลังเกินควรและเสี่ยงต่อความปลอดภัยของคู่แข่ง” สุดท้ายเขาจึงยกเลิกใบเหลือง และควักใบแดงโดยตรงให้กับไกเซโด้ ท่ามกลางเสียงโห่และความไม่พอใจของแฟนบอลเจ้าถิ่น

    “มันคือการตัดสินใหม่ทั้งจังหวะ”  มุมมองของสเตอร์ริดจ์

    สเตอร์ริดจ์อธิบายมุมมองของเขาอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่เขาไม่สบายใจไม่ใช่ผลลัพธ์สุดท้ายโดยตรง เพราะเมื่อย้อนดูภาพช้าแล้ว จังหวะของไกเซโด้ก็ “อาจจะสมควรโดนแดงได้” ในกรอบกติกา แต่ประเด็นคือ กระบวนการที่เกิดขึ้นมันดูเหมือนว่า VAR ถูกใช้เพื่อ “รี-ตัดสิน” จังหวะ ที่ผู้ตัดสินในสนามคอนโทรลไว้แล้ว มากกว่าจะใช้ในกรณีที่เป็น “ความผิดพลาดชัดเจนและร้ายแรง” อย่างที่ควรจะเป็น

    เขาพูดว่า เมื่อดูภาพช้า ๆ แล้ว แน่นอนว่ามันดูรุนแรงขึ้นกว่าที่เห็นในความเร็วจริง ภาพขาที่เหยียดตึง การปะทะที่ดูเต็มแรง และการที่เมรีโนโดนก่อนบอล ทำให้จิตใจคนดู รวมถึงผู้ตัดสินเอง ถูกโน้มน้าวไปในทาง “โทษหนัก” มากขึ้นอยู่แล้ว

    สเตอร์ริดจ์เปรียบเทียบให้เห็นง่าย ๆ ว่า ในความเร็วจริง จังหวะนี้อาจถูกมองว่าเป็นการฟาวล์แรงที่สมควรโดนใบเหลือง แต่เมื่อถูกตัดมาให้ดูเฉพาะภาพช้าเน้นจุดปะทะ มันจะทำให้ทั้งผู้ตัดสินและผู้ชมรู้สึกว่า “แย่กว่าความเป็นจริง” และนี่คือสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่ากำลังข้ามเส้น “กฎทองของ VAR” อยู่

    อลัน สมิธ ย้ำจุดสำคัญ: “ต้องโชว์จังหวะจริงด้วย ไม่ใช่แต่ภาพช้า”

    ก่อนหน้านั้นไม่นาน อลัน สมิธ อดีตดาวยิงอาร์เซนอลซึ่งรับบทคอมเมนเตเตอร์ในเกมนี้ ก็พูดคล้ายกันว่า ในจังหวะแบบนี้ สิ่งสำคัญคือ ผู้ตัดสินควรได้เห็นทั้งภาพช้าและความเร็วจริง

    เขาชี้ว่าไกเซโด้ “มาด้วยความเร็วและแรง” และขาที่เหยียดตรงคือสิ่งที่กรรมการมักกังวล เพราะมันเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของคู่แข่ง แต่ก็เตือนว่า หากดูแค่ภาพช้าอย่างเดียว ความรู้สึกต่อความรุนแรงจะถูกขยายขึ้นไปอีกขั้น

    สมิธถึงกับบอกว่า “นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเกม” เพราะการเหลือ 10 คนตั้งแต่ครึ่งแรกในเกมระดับนี้ ทำให้รูปเกมและแท็กติกของเชลซีต้องเปลี่ยนไปหมด

    “กฎทองของ VAR” คืออะไร ทำไมหลายคนถึงพูดถึง?

    เวลาพูดถึง “กฎทอง” ในการใช้ VAR ส่วนใหญ่หมายถึงหลักการสำคัญข้อหนึ่งที่ฟีฟ่าและพรีเมียร์ลีกย้ำมาตลอด นั่นคือ

    VAR มีไว้เพื่อแก้ไข “ความผิดพลาดชัดเจนอย่างเห็นได้ชัด” หรือ “เหตุการณ์สำคัญที่ผู้ตัดสินพลาดแบบชัด ๆ”
    ไม่ใช่เพื่อ “ตัดสินใหม่ตั้งแต่ต้น” หรือเปลี่ยนการตีความที่ไม่ได้ผิดพลาดร้ายแรง

    ในจังหวะนี้ เทย์เลอร์เห็นเหตุการณ์แบบเต็มตาในสนาม และตัดสินใจแจกใบเหลืองทันที นั่นแปลว่าเขาผ่านกระบวนการ “ประเมินแล้ว” ว่าฟาวล์นี้อยู่ในระดับไหน แต่เมื่อ VAR เข้ามาบอกให้ย้อนดูใหม่ แล้วสุดท้ายต้องเปลี่ยนจากเหลืองเป็นแดง จึงเกิดคำถามว่า

    นี่คือ “ความผิดพลาดชัดเจน” จริง ๆ หรือเป็นเพียงการ “มองต่างมุม” ระหว่างห้อง VAR กับผู้ตัดสินในสนาม?

    VAR แค่ช่วยชี้ภาพให้เห็นบางมุมที่เทย์เลอร์อาจมองไม่ชัด หรือกำลัง “รีเฟรช” การตัดสินแบบเต็มจังหวะให้เขาใหม่?

    สเตอร์ริดจ์จึงใช้คำว่า “They’ve re-reffed it” หรือ “พวกเขาตัดสินใหม่ทั้งจังหวะ” ซึ่งสะท้อนความกังวลว่า VAR กำลังค่อย ๆ ล้ำเส้นจากผู้ช่วยตัดสิน ไปเป็นผู้ตัดสินคนที่สองในเงามืดแทน

    เหตุผลของพรีเมียร์ลีกและคำประกาศทางการ

    หลังจบเหตุการณ์ มีการออกโพสต์จาก Premier League Match Centre อธิบายการตัดสินใจว่า การสั่งเปลี่ยนใบเหลืองเป็นใบแดงให้ไกเซโด้เกิดจากการประเมินว่าเป็น “Serious Foul Play” หรือการฟาวล์รุนแรง ใช้กำลังเกินควร และเสี่ยงทำให้คู่แข่งบาดเจ็บหนัก

    แถลงของผู้ตัดสินที่ถูกฉายผ่านระบบเสียงในสนามระบุชัดเจนว่า:

    “หลังจากตรวจสอบแล้ว ผู้เล่นเชลซีหมายเลข 25 เข้าปะทะด้วยแรงเกินควรและทำให้คู่แข่งเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ดังนั้นคำตัดสินสุดท้ายของผมคือใบแดง”

    จากมุมของกติกาล้วน ๆ การให้ใบแดงจึงสามารถอธิบายได้ชัดเจน แต่จากมุมของ “การใช้ VAR ตามหลักการเดิม” นี่แหละคือจุดถกเถียงที่แฟนบอลและกูรูจำนวนไม่น้อยยังรู้สึกขัดใจ

    10 คนแต่ไม่ถอดใจ  เชลซียังยิงนำได้ก่อน

    แม้จะเหลือผู้เล่นน้อยกว่า แต่เชลซีกลับเป็นฝ่ายได้ประตูนำก่อนจากลูกตั้งเตะ ทรีโว ชาโลบาห์ โฉบขึ้นมาโหม่งลูกเตะมุมของ รีซ เจมส์ เข้าไปอย่างเฉียบคม ทำให้สแตมฟอร์ดบริดจ์ระเบิดเสียงเฮ เปลี่ยนความอัดอั้นจากเหตุใบแดงให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนแทน

    อย่างไรก็ตาม ความได้เปรียบด้านสกอร์ของเชลซีอยู่ได้ไม่นาน อาร์เซนอลก็ไล่ตีเสมอจากลูกโหม่งของ มิเกล เมรีโน เอง ที่ขึ้นมาเอาชนะแนวรับแล้วโขกผ่าน โรเบิร์ต ซานเชซ เข้าไปจากการเปิดบอลอย่างแม่นของ บูกาโย ซาก้า เกมกลับสู่จุดสมดุล แต่ความกดดันฝั่งเจ้าถิ่นยังคงอยู่เต็มที่ เพราะต้องเล่น 10 คนจนจบ

    ดราม่าต่อเนื่อง: ฮินคาปี ศอกใส่แต่ไม่โดนแดง

    หลังจากไกเซโด้ถูกไล่ออก เกมก็ยังมีจังหวะให้แฟนบอลถกเถียงต่อ โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ ปิเอโร่ ฮินคาปี ของอาร์เซนอล ถูกมองว่ามีศอกไปโดนใบหน้าของชาโลบาห์ในจังหวะปะทะกัน

    แฟนเชลซีจำนวนหนึ่งมองว่าเหตุการณ์นั้น “เข้าข่ายใบแดงได้เหมือนกัน” และตั้งคำถามว่า ทำไม VAR ถึงไม่สั่งให้ดูจออย่างละเอียดเหมือนจังหวะของไกเซโด้ ขณะที่ในสนาม เทย์เลอร์เลือกให้เป็นเพียงฟาวล์และไม่มีใบแดงตามมา

    เหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้เสียงวิจารณ์ดังขึ้นว่า มาตรฐานการใช้ VAR และการให้โทษหนัก–เบายังไม่นิ่งพอในสายตาแฟนบอลและคนดูทั่วไป

    ใบเหลืองเกลื่อนสนาม สะท้อนเกมที่ตึงเครียดทุกวินาที

    นอกจากใบแดงของไกเซโด้แล้ว เกมนี้ยังเต็มไปด้วยใบเหลือง กระทั่งตัวสำรองอย่าง ไมลส์ ลูวิส–สเกลลี่ ที่เพิ่งถูกส่งลงแทน ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี ก็โดนใบเหลืองอย่างรวดเร็วหลังลงมาไม่กี่นาที ขณะที่คาลาฟิออรีเองก็ถูกจดชื่อไปก่อนแล้วเช่นกัน

    จำนวนใบเหลืองจำนวนมากสะท้อนให้เห็นชัดว่า เกมนี้ทั้งเข้มข้นในแง่แท็กติกและอารมณ์ ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดีว่านี่คือเกมสำคัญต่อการลุ้นพื้นที่หัวตาราง และทุกจังหวะดวลตัวต่อตัวจึงไม่มีใครยอมใครง่าย ๆ

    VAR: ผู้ช่วยสร้างความยุติธรรมหรือจุดต้นตอของความขัดแย้งใหม่?

    กรณีใบแดงของไกเซโด้ในเกมนี้ กลายเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคำถามเก่าแต่ยังตอบไม่เคยลงตัวว่า

    – VAR ช่วยทำให้เกม “ยุติธรรมขึ้น” จริงไหม?
    – หรือกำลังทำให้เกม “ถูกตัดต่อและตีความใหม่” จนความลื่นไหลและอารมณ์สด ๆ ของฟุตบอลเริ่มหายไป?

    ในด้านหนึ่ง การเห็นผู้เล่นที่เข้าปะทะด้วยแรงเกินควรโดนลงโทษหนัก ย่อมเป็นสัญญาณที่ดีว่า ลีกให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักเตะ แต่ในอีกด้านหนึ่ง หากการใช้ VAR ทำให้ผู้ตัดสินในสนามรู้สึกไม่กล้าไว้ใจการตัดสินของตัวเอง และต้องพึ่งภาพช้าเป็นหลักตลอดเวลา ความเชื่อมั่นของแฟนบอลต่อระบบก็อาจสั่นคลอนเช่นกัน

    เสียงของคนอย่างสเตอร์ริดจ์และอลัน สมิธ จึงสำคัญในฐานะ “เสียงเตือน” ว่า VAR ควรช่วยเสริม ไม่ใช่แย่งบทบาทหลักของผู้ตัดสินในสนาม

    บทสรุป: เกมหนึ่งนัด แต่คำถามอีกยาวไกล

    แมตช์เชลซี–อาร์เซนอลครั้งนี้จะถูกจดจำไม่ใช่แค่ในฐานะเกมที่มีใบแดงสำคัญ หรือประตูตีเสมอสุดเข้มข้นเท่านั้น แต่ยังเป็นอีกหนึ่งบทในประวัติศาสตร์ของการถกเถียงเรื่อง VAR ในพรีเมียร์ลีก ว่าควรถูกใช้ “แค่ไหนอย่างไร” ถึงจะไม่ล้ำเส้นจากผู้ช่วย ไปเป็นผู้ตัดสินคนใหม่ที่อยู่หลังจอ

    ไม่ว่าจะเชียร์ฝั่งไหน สิ่งที่ทุกคนอยากเห็นเหมือนกันคือมาตรฐานที่ชัดเจน โปร่งใส และสม่ำเสมอ เพราะสุดท้ายแล้ว ฟุตบอลควรเป็นเกมที่ทุกฝ่ายรู้สึกว่า “แพ้ชนะกันด้วยฟอร์มและความกล้าลุยในสนาม” มากกว่าความอึดอัดจากการรอคำตัดสินยืดยาวจากห้อง VAR

    ถ้าคุณชอบเกาะทุกดราม่าฟุตบอล ตั้งแต่ VAR ใบแดง ไปจนถึงราคาบอลสดและมุมมองวิเคราะห์แบบเจาะลึกก่อนลงสนาม ลองเปิดโหมดเชียร์บอลให้จริงจังและมันส์ขึ้นอีกขั้นกับ ufa365 ที่รวมทั้งข่าว บทวิเคราะห์ และข้อมูลสำคัญให้คอบอลใช้ตัดสินใจก่อนทุกคู่ใหญ่

  • เช็กสภาพทีม บาร์เซโลนา พบ แอตเลติโก มาดริด

    เช็กสภาพทีม บาร์เซโลนา พบ แอตเลติโก มาดริด

    เช็กสภาพทีม Barcelona vs Atlético Madrid พรีวิวก่อนเกม ศึกชี้ทางลาลีกากลางสัปดาห์ที่คัมป์นู

    เช็กสภาพทีม บาร์เซโลนาเตรียมเปิดสนามสปอติฟาย คัมป์นู ต้อนรับการมาเยือนของแอตเลติโก มาดริด ในเกมลาลีกาคืนวันอังคารที่มีน้ำหนักมากกว่าคำว่า “สามแต้ม” เพราะนี่คือเกมที่สามารถกำหนดทิศทางกลุ่มลุ้นแชมป์ในช่วงโค้งแรกของฤดูกาลได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

    สถานการณ์บนตารางคะแนนก่อนเริ่มเกม บาร์ซ่านำเป็นจ่าฝูงของลีก ส่วนทีมของดีเอโก ซิเมโอเน่กำลังฟอร์มร้อนแรงและมีโอกาสขึ้นมาทำแต้มทาบ หากบุกมาคว้าชัยในคาตาลุนญาได้สำเร็จ ทำให้บรรยากาศของเกมนี้เต็มไปด้วยความตึงเครียด ทั้งในสนามและบนม้านั่งโค้ชของทั้งสองทีม

    แม้ฮันซี่ ฟลิค จะเพิ่งพาทีมเก็บชัยชนะในลีกเป็นเกมที่สี่ติดต่อกัน แต่สีหน้าของกุนซือชาวเยอรมันหลังเกมชนะอลาเบส 3–1 กลับไม่บ่งบอกถึงความพอใจ เขายังคงกังวลกับรูปแบบการเล่นและความต่อเนื่องของทีมเมื่อเทียบกับซีซันก่อน แน่นอนว่าเกมกับแอตเลติโกคือบททดสอบสำคัญ ว่าบาร์ซ่าสามารถยืนระยะในเกมใหญ่ได้มากแค่ไหน

    ในอีกด้าน แอตเลติโก มาดริด กำลังอยู่ในช่วงมั่นใจสูงสุด หลังคว้าชัยชนะ 7 นัดติดต่อกันทุกรายการ เกมล่าสุดพวกเขาเพิ่งชนะเรอัล โอเบียโด้ 2–0 แบบไม่เปลืองแรงมากนัก ทำให้สามารถหมุนเวียนตัวผู้เล่นและเก็บแรงไว้สำหรับแมตช์สำคัญที่คัมป์นูได้พอดี

    ภาพรวมก่อนเกม: บาร์ซ่ายังไม่เป๊ะ แต่อยู่บนสุดตาราง – แอตเลติโกพร้อมฉวยโอกาส

    ชัยชนะ 3–1 เหนือเดปอร์ติโบ อลาเบสในสุดสัปดาห์ ช่วยให้บาร์ซ่าเก็บสามแต้มสำคัญได้ต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเรอัล มาดริดดันทำแต้มหล่นในการบุกเยือนคิโรน่า ทำให้ทีมของฟลิคยังยึดตำแหน่งจ่าฝูงเอาไว้ได้

    อย่างไรก็ตาม แฟนบอลจำนวนมาก รวมถึงตัวฟลิคเอง น่าจะสัมผัสได้ว่าภาพรวมของบาร์ซ่า “ยังไม่คมและไม่แน่น” เท่าที่ควร เกมรุกมีช่วงไหลลื่นสลับกับช่วงแผ่ว เกมรับแม้จะเริ่มเข้าที่ แต่ก็ยังเปิดโอกาสให้คู่แข่งได้ลุ้นมากเกินไปในบางจังหวะ

    ตรงกันข้าม แอตเลติโก มาดริดฤดูกาลนี้ไม่ได้เน้นแต่การตั้งรับลึกเหมือนยุคก่อน พวกเขาเริ่มกล้าดันไลน์ กล้าครองบอล และพยายามต่อเกมจากหลังขึ้นหน้าอย่างมีแบบแผนมากขึ้น ขณะเดียวกันจุดแข็งดั้งเดิมอย่างเกมสวนกลับและการเล่นลูกกลางอากาศก็ยังอยู่ครบ

    แม้สถิติการเจอกันในภาพรวมจะเป็นบาร์เซโลนาที่เหนือกว่า แต่ในช่วงหลัง เราเห็นได้ชัดว่า แอตเลติโกเริ่ม “เล่นกับบาร์ซ่าได้” มากขึ้น พวกเขาบุกมาชนะที่คาตาลุนญาได้แล้วในฤดูกาลที่แล้ว และในเกมแรกที่เจอกันซีซันนี้ แอตเลติโกเคยนำก่อนถึง 2–0 ก่อนจะพลาดท่าโดนบาร์ซ่ารัวกลับมาชนะ 4–2 แบบสุดดราม่า ซึ่งเหตุการณ์นี้ยิ่งเพิ่มความมุ่งมั่นให้ลูกทีมของซิเมโอเน่อยากกลับมาล้างตาให้ได้

    ข้อมูลการแข่งขันสำคัญ

    • สนามแข่ง: สปอติฟาย คัมป์นู เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน
    • วัน–เวลาแข่ง: วันอังคารที่ 2 ธันวาคม
    • เวลาเขี่ยบอล: 20.00 น. ตามเวลาอังกฤษ
    • ผู้ตัดสิน: ริคาร์โด เด บูร์กอส

    สถิติการพบกัน 5 นัดหลังสุดในลาลีกา

    • บาร์เซโลนา ชนะ 3 นัด
    • แอตเลติโก มาดริด ชนะ 1 นัด
    • เสมอ 1 นัด
    • นัดล่าสุด: แอตเลติโก มาดริด 0–1 บาร์เซโลนา เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025

    ฟอร์มล่าสุดทุกรายการ

    บาร์เซโลนา

    • ชนะ อลาเบส 3–1
    • แพ้ เชลซี 0–3
    • ชนะ แอธเลติก คลับ 4–0
    • ชนะ เซลต้า บีโก้ 4–2
    • เสมอ คลับ บรูช 3–3

    ฟอร์มบ่งบอกชัดว่า บาร์ซ่ามีเกมรุกที่ผลิตสกอร์ได้ดี แต่ก็มีช่วงที่เสียประตูง่าย โดยเฉพาะในบอลยุโรปอย่างเกมแพ้เชลซีและเสมอบรูช

    แอตเลติโก มาดริด

    • ชนะ เรอัล โอเบียโด้ 2–0
    • ชนะ อินเตอร์ 2–1
    • ชนะ เกตาเฟ่ 1–0
    • ชนะ เลบันเต้ 3–1
    • ชนะ ยูเนี่ยน แซงต์-ชิลลัวส์ 3–1

    ฝั่งตราหมีจึงเข้าสู่เกมนี้ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม เกมรับเริ่มกลับมาเหนียวแน่น ในขณะที่เกมรุกก็มีทั้งความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่น

    ช่องทางการรับชม

    แฟนบอลจากหลายประเทศสามารถรับชมเกมนี้ผ่านช่องทางถ่ายทอดสดหลากหลายแพลตฟอร์ม เช่น

    • สหรัฐอเมริกา: ESPN Select, fuboTV, แอป ESPN, ESPN Deportes
    • สหราชอาณาจักร: Premier Sports Player, Premier Sports 1
    • แคนาดา: TSN+, TSN 1
    • เม็กซิโก: Sky Sports, Sky+

    สำหรับแฟนบอลชาวไทย มักจะมีถ่ายทอดผ่านช่องหรือแพลตฟอร์มสตรีมมิงที่ได้รับลิขสิทธิ์ลาลีกา โดยรายละเอียดอาจขึ้นอยู่กับผู้ถือลิขสิทธิ์ในฤดูกาลนั้น

    สภาพทีมบาร์เซโลนา: ข่าวดีคือ Pedri กลับมา ข่าวร้ายคือแนวรับยังไม่เต็มสูบ

    ไฮไลต์สำคัญของเกมชนะอลาเบสคือการที่ เปดรี ได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง แฟนบอลในคัมป์นูต่างลุกขึ้นปรบมือทันทีที่เขาถูกส่งลงมาในช่วงชั่วโมงของเกม การคืนสนามของจอมทัพหนุ่มรายนี้ ไม่ได้หมายถึงแค่คุณภาพในแดนกลาง แต่ยังรวมถึงความมั่นใจของทีมทั้งชุด

    เกมกับอลาเบสยังเป็นนัดที่ ราฟินญ่า ได้กลับมาออกสตาร์ตเป็นตัวจริงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายน และเขาก็ตอบแทนความไว้วางใจด้วยการจ่ายให้ดานี่ โอลโม่ ทำประตูแรกได้สำเร็จ ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อเกมรุกฝั่งขวา

    อย่างไรก็ตาม ปัญหาของบาร์ซ่าอยู่ที่แนวรับและความพร้อมของกองกลางตัวเก๋าอย่าง เฟรงกี้ เดอ ยอง ซึ่งถูกตัดชื่อออกก่อนเกมเจออลาเบสในวินาทีสุดท้าย ทำให้ยังไม่ชัดเจนว่าเขาจะพร้อมลงเป็นตัวจริงหรือไม่ในเกมกับแอตเลติโก

    ในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนเมื่อสโมสรอนุญาตให้ โรนัลด์ อเราโฆ่ ลาไปพักจากทีมชั่วคราว ส่งผลให้ภาระตกไปอยู่ที่ดาวรุ่งอย่าง เปา คูบาร์ซี่ และ เกราร์ด มาร์ติน ซึ่งแม้จะทำผลงานได้น่าประทับใจ แต่การต้องรับมือกับคู่กองหน้าที่ทั้งเร็วและแข็งแรงอย่างฮูเลียน อัลวาเรซ และอเล็กซานเดอร์ ซอร์ลอธ ก็ถือว่าเป็นบททดสอบระดับสูง

    ตำแหน่งผู้รักษาประตู แม้ว่า มาร์ค-อันเดร แทร์ ชเตเกน ใกล้หายเจ็บและคัมแบ็กเต็มที แต่ฟลิคไม่น่าจะรีบเปลี่ยนแปลง เพราะ โจน การ์เซีย ที่ได้รับโอกาสช่วงนี้กำลังทำหน้าที่ได้ดีและได้รับความเชื่อมั่นจากทีมสตาฟฟ์

    บาร์ซ่ายังต้องลงสนามโดยไม่มี กาบี และ เฟร์มิน โลเปซ ที่อยู่ในช่วงพักฟื้นอาการบาดเจ็บ ทำให้ตัวเลือกในแดนกลางถูกจำกัดอยู่พอสมควร

    แผนการเล่นที่คาดของบาร์เซโลนา (4-2-3-1)

    • ผู้รักษาประตู: โจน การ์เซีย
    • กองหลัง: จูลส์ คุนเด้, เปา คูบาร์ซี่, เกราร์ด มาร์ติน, อเลฆานโดร บัลเด้
    • คู่กลางรับ–คุมเกม: เฟรงกี้ เดอ ยอง, เปดรี
    • ตัวรุกสามคนด้านหลัง: ลามีน ยามาล, ดานี่ โอลโม่, ราฟินญ่า
    • หน้าเป้า: โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้

    หากเดอ ยองไม่พร้อม ฟลิคอาจขยับโอลโม่หรือใช้กองกลางคนอื่นลงมาช่วยเชื่อมเกมในโซนลึก ซึ่งจะส่งผลต่อรูปแบบการเซ็ตเกมอย่างมาก

    สภาพทีมแอตเลติโก มาดริด: ขาด Llorente แต่ยังอันตรายทั้งโต้กลับและลูกกลางอากาศ

    ฝั่งทีมเยือน มีแนวโน้มว่าจะไม่มี มาร์กอส ยอเรนเต้ ที่เจ็บแฮมสตริง และ โรบิน เล นอร์มังด์ เซ็นเตอร์แบ็กที่บาดเจ็บเข่า ทำให้ซิเมโอเน่ต้องจัดแผงหลังอย่างระมัดระวัง

    อย่างไรก็ตาม แอตเลติโกยังมีตัวเลือกที่น่าสนใจอย่าง โฮเซ มาเรีย ฆิเมเนซ ที่เพิ่งทำประตูชัยในเกมใหญ่กับอินเตอร์ก่อนหน้านี้ เขาน่าจะได้ออกสตาร์ตในคาตาลุนญา หลังจากถูกพักมาในเกมลีกล่าสุด

    แนวรุกมีโอกาสสูงที่ซิเมโอเน่จะเลือกใช้ “คู่หูใหญ่–เล็ก” ตามสไตล์ คือให้ ฮูเลียน อัลวาเรซ ทำหน้าที่ขยับหาพื้นที่ระหว่างไลน์เกมรับของบาร์ซ่า ส่วน อเล็กซานเดอร์ ซอร์ลอธ รับบทเป้าในเขตโทษ คอยพักบอลและเล่นลูกกลางอากาศ

    ที่ริมเส้นด้านขวา กุนซือชาวอาร์เจนไตน์น่าจะเรียกใช้บริการลูกชายอย่าง จูลิอาโน ซิเมโอเน่ เพื่อเพิ่มความขยันและการไล่บีบคู่แข่งในฝั่งของบัลเด้

    แผนการเล่นที่คาดของแอตเลติโก มาดริด (4-4-2)

    • ผู้รักษาประตู: ยาน โอบลัค
    • กองหลัง: นาฮูเอล โมลินา, โฮเซ มาเรีย ฆิเมเนซ, เกลม็อง ล็องเลต์, ดาวิด ฮานซ์โก้
    • กองกลางสี่คน: จูลิอาโน ซิเมโอเน่, ปาโบล บาร์ริออส, โกเก้, อเล็กซ์ บาเอน่า
    • คู่หน้า: ฮูเลียน อัลวาเรซ, อเล็กซานเดอร์ ซอร์ลอธ

    โครงสร้าง 4-4-2 แบบนี้ช่วยให้แอตเลติโกยังคงมีความเหนียวในเกมรับ แต่ขณะเดียวกันก็มีตัวรุกพอให้กระโจนขึ้นโต้กลับเร็วเมื่อบาร์ซ่าดันไลน์สูง

    เกมนี้จะออกมารูปแบบไหน: วิเคราะห์แท็กติกและจุดเปลี่ยนสำคัญ

    1. แดนกลางคือสมรภูมิหลัก
      การกลับมาของเปดรีและความเป็นไปได้ที่เดอ ยองจะได้ลงตัวจริง ทำให้บาร์เซโลน่ามี “คู่กลางในฝัน” ที่ช่วยควบคุมจังหวะเกมได้ดีขึ้น ทั้งการพาบอลออกจากแดนตัวเองและจ่ายทะลุช่องขึ้นไปให้แนวรุก อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องเจอแรงกดดันจากกองกลางพลังหนุ่มอย่างบาร์ริออส และประสบการณ์ของโกเก้ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการอ่านเกมระดับสูง
    2. เส้นหลังบาร์ซ่ากับเกมโต้กลับของตราหมี
      จุดที่แฟนบาร์ซ่ากังวลคือแนวรับดาวรุ่งที่ยังไม่ผ่านศึกใหญ่แบบต่อเนื่อง การต้องรับมือกับคู่หน้าที่ทั้งไวและแข็งแรงของแอตเลติโก ทำให้โอกาสพลาดมีอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาดันไลน์สูงเกินไป
    3. ริมเส้นฝั่งราฟินญ่าและยามาล vs แบ็กแอตเลติโก
      หากราฟินญ่าฟอร์มต่อจากเกมก่อน และยามาลมีพื้นที่ให้เลี้ยงตัดเข้าใน บาร์ซ่าจะมีอาวุธที่ปั่นป่วนแนวรับคู่แข่งได้ดี แต่ในขณะเดียวกัน แอตเลติโกก็คงเตรียมรูปแบบการช่วยซ้อนและตัดไลน์จ่ายมารับมือแล้วเช่นกัน
    4. ลูกนิ่งและลูกกลางอากาศ
      เกมแบบนี้ลูกตั้งเตะอาจกลายเป็นตัวตัดสินได้ทั้งสองฝั่ง บาร์ซ่าต้องระวังการเปิดโค้งเข้าใส่ของแอตเลติโก ขณะที่ฝั่งเจ้าบ้านเองก็มีตัวเปิดบอลดีอย่างโอลโม่และราฟินญ่าเช่นกัน

    คาดการณ์สกอร์: ดุเดือด สูสี มีโอกาสยิงกันเยอะ

    จากฟอร์มล่าสุด บาร์เซโลน่าชนะเกมลีกติดกันก็จริง แต่ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่าคู่แข่งแบบเบ็ดเสร็จ ขณะเดียวกัน แอตเลติโกกำลังมั่นใจและอันตรายมากในเกมสวนกลับ แท็คติกของซิเมโอเน่ในเกมใหญ่ยังคงเน้นรัดกุม แต่ไม่ใช่การถอยไปตั้งรับเป็นแพ็คแน่นอย่างเดียวเหมือนช่วงแรกที่เขาคุมทีม

    เกมนี้มีแนวโน้มว่าจะเป็นแบบ “แลกกันหมัดต่อหมัด” ช่วงหนึ่งของเกม บาร์ซ่าอาจครองบอลได้มากกว่า แต่ตราหมีจะใช้จังหวะเปลี่ยนจากรับเป็นรุกเร็วเล่นงานเกมรับที่ยังไม่แน่นของเจ้าบ้าน

    จุดที่น่าสนใจคือ แอตเลติโกยุคนี้ไม่ได้ปิดเกมง่าย ๆ และไม่ใช่กำแพงเหล็กเหมือนแต่ก่อน ทำให้บาร์เซโลน่ามีโอกาสเจาะได้แน่นอน แต่ในทางกลับกัน เกมรับของบาร์ซ่าเองก็ยากจะเก็บคลีนชีตในเกมระดับนี้เช่นกัน

    สกอร์ที่คาด:

    บาร์เซโลนา 2–2 แอตเลติโก มาดริด
    เต็มไปด้วยจังหวะลุ้น หวาดเสียว และอาจเป็นหนึ่งในเกมที่สนุกที่สุดของสัปดาห์ในยุโรป

    เช็กสภาพทีม ถ้าเกมบิ๊กแมตช์อย่างบาร์เซโลนาเจอแอตเลติโกยังทำให้หัวใจเต้นแรงได้ทุกนาที การลุ้นผลการแข่งขันแบบมี เดิมพัน ในสไตล์ของคุณเองก็ยิ่งเพิ่มอรรถรสให้มากขึ้นไปอีก ถ้าคุณอยากให้ทุกคืนบอลมีความหมายมากกว่าการนั่งดูเฉย ๆ ลองเปิดประสบการณ์ใหม่กับ ufa169 แล้วปล่อยให้ทุกเกมใหญ่กลายเป็นช่วงเวลาที่คุณลุ้นได้สุดทาง

  • แมนยูพร้อมทุ่ม ยื่นข้อเสนอซื้อ วินี่ จูเนียร์ เรอัล มาดริดเร่งล่าตัวนักเตะรายนี้

    แมนยูพร้อมทุ่ม ยื่นข้อเสนอซื้อ วินี่ จูเนียร์ เรอัล มาดริดเร่งล่าตัวนักเตะรายนี้

    ข่าวลือซื้อขาย: แมนยูพร้อมทุ่ม ยื่นดีลมหาศาลล่าตัววินิซิอุส มาดริดเดินหน้าแผนกระชากดีแคลน ไรซ์

    แม้ตลาดซื้อขายนักเตะจะยังไม่เปิดอย่างเป็นทางการ แต่กระแสข่าวลือรอบยุโรปกลับร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อชื่อใหญ่อย่าง Vinicius Junior และ Declan Rice ถูกดึงเข้ามาอยู่ในหัวข้อหลักของข่าวพร้อมกัน รายงานรวบรวมความเคลื่อนไหวสำคัญทั้งจากพรีเมียร์ลีกและลาลีกา ซึ่งหากแม้แต่บางดีลในนี้เกิดขึ้นจริง โลกฟุตบอลอาจต้องสั่นสะเทือนทั้งเรื่องมูลค่าและผลกระทบเชิงแท็กติกของแต่ละสโมสร ด้านหนึ่ง แมนยูพร้อมทุ่ม และถูกอ้างว่าพร้อมทุ่มเงินระดับ 200 ล้านยูโรเพื่อดึงวินิซิอุสมาลุยพรีเมียร์ลีก ขณะเดียวกัน เรอัล มาดริดเองก็ไม่ได้อยู่นิ่ง พวกเขากำลังจับตามอง Declan Rice อย่างใกล้ชิดในฐานะ “ซูเปอร์สตาร์คนต่อไป” ของเบร์นาเบว

    พรีเมียร์ลีก: แมนยูไล่ล่าเซเมนโย–วินิซิอุส, ลิเวอร์พูลเล็งกลางมาดริด, เรือใบ–ปืนร่วมวงแย่งลิฟราเมนโต

    แมนยูขยับก่อนในดีล Antoine Semenyo

    เริ่มกันที่ปีกความเร็วสูงอย่าง อ็องตวน เซเมนโย (Antoine Semenyo) จากบอร์นมัธ มีรายงานว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ “ขยับตัวก่อน” เพื่อยื่นข้อเสนอคว้าตัวเขาไปเสริมทัพในแนวรุก โดยหวังใช้จุดเด่นเรื่องสปีดและการเล่นดุดันมาช่วยเติมมิติการเข้าทำ

    อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวยังเชื่อว่า ลิเวอร์พูล ยังคงเป็นตัวเต็งในระยะยาวสำหรับดีลนี้ โดยเฉพาะกับแผนปี 2026 ที่หงส์แดงอาจทำการยกเครื่องแนวรุกใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านยุคซาลาห์อย่างสมบูรณ์ เซเมนโยจึงอาจถูกวางเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของโครงสร้างนั้น

    ดีลระดับโลก: แมนยูพร้อมทุ่ม 200 ล้านยูโรล่าตัว Vinicius Junior

    ข่าวใหญ่ที่สุดฝั่งอังกฤษคือการที่ เซอร์ จิม แร็ตคลิฟฟ์ และกลุ่ม INEOS ได้อนุมัติให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดสามารถยื่นข้อเสนอสูงถึง 200 ล้านยูโร เพื่อคว้าตัว Vinicius Junior ปีกตัวเก่งของเรอัล มาดริด

    หากข้อเสนอนี้เกิดขึ้นจริง มันจะเข้าใกล้ระดับดีลประวัติศาสตร์ของโลกฟุตบอล และสะท้อนว่าแมนยูต้องการ “สตาร์ระดับท็อปที่การันตีแสงสปอร์ตไลต์” มากกว่าการสร้างทีมแบบค่อยเป็นค่อยไป นักเตะอย่างวินิซิอุสสามารถเปลี่ยนทั้งภาพลักษณ์ สโมสร การตลาด และศักยภาพในสนามได้ในเวลาเดียวกัน

    อย่างไรก็ดี การโน้มน้าวให้เรอัล มาดริดยอมขายไม่ใช่เรื่องง่าย และแม้จำนวนเงินจะสูงลิ่ว แต่ต้องไม่ลืมว่า มาดริดมองเขาเป็นหนึ่งในแกนหลักของยุคใหม่เช่นกัน

    เชลซีเดินเกมล่อ Myles Lewis-Skelly ออกจากอาร์เซนอล

    เชลซีกำลังพยายาม “ตัดหน้าในเมืองลอนดอน” ด้วยการเสนอ โอกาสลงเล่นมากกว่า ให้กับ Myles Lewis-Skelly เพื่อชักชวนให้เขาย้ายออกจากอาร์เซนอล

    ดีลลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในอังกฤษ แต่สำหรับแฟนปืนใหญ่แล้ว การเสียดาวรุ่งพรสวรรค์สูงให้กับคู่แข่งโดยตรงถือเป็นเรื่องที่เจ็บปวดไม่น้อย ฝั่งอาร์เซนอลจึงต้องเร่งแผนต่อสัญญาและสร้างเส้นทางการเติบโตให้ชัดเจน เพื่อรักษาเขาเอาไว้ในระยะยาว

    เชลซีชนกำแพงในดีล Murillo จากฟอเรสต์

    อีกดีลหนึ่งที่เชลซีสนใจคือ Murillo เซ็นเตอร์แบ็กของน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ แต่รายงานระบุว่า สโมสรต้นสังกัดตั้งใจชัดเจนว่า “จะไม่ปล่อยตัวในเดือนมกราคม”

    หมายความว่า หากเชลซีอยากได้จริง ๆ อาจต้องรอไปถึงช่วงซัมเมอร์ และนั่นอาจเปิดโอกาสให้ทีมอื่น ๆ เข้ามาแจมในดีลนี้ได้มากขึ้น

    Konaté จ่อเซ็นสัญญาใหม่กับลิเวอร์พูล หลังมาดริดถอย

    หลังจากก่อนหน้านี้มีข่าวว่าเรอัล มาดริดให้ความสนใจ อิบราฮิมา โคนาเต้ (Ibrahima Konaté) แต่ล่าสุดความสนใจนั้นได้ยุติลงไปแล้ว ส่งผลให้ฝั่งลิเวอร์พูล “โล่งใจ” และเริ่มเดินหน้าเจรจาสัญญาใหม่กับเซ็นเตอร์แบ็กรายนี้อย่างจริงจัง

    การรั้งโคนาเต้เอาไว้ได้ จะช่วยให้แนวรับของลิเวอร์พูลมีฐานที่มั่นคงต่อเนื่อง และลดความจำเป็นในการทุ่มเงินก้อนโตไปหากองหลังใหม่ในตลาด

    สายตรงแอนฟิลด์–เบร์นาเบว: จาก Tchouaméni ถึง Camavinga

    แม้เรอัล มาดริดจะยุติความสนใจในโคนาเต้ แต่สายสัมพันธ์ระหว่างสองสโมสรนี้ยังไม่จบง่าย ๆ เพราะมีรายงานว่า ลิเวอร์พูล “ฝัน” ที่จะได้ตัว Aurélien Tchouaméni มาคุมแดนกลางในระยะยาว

    อย่างไรก็ตาม ฝั่งหงส์แดงมองว่า ดีลของ Eduardo Camavinga ยังคง “สมจริงกว่า” ในเชิงโอกาสและตัวเลขค่าตัว หากสโมสรสามารถหาข้อเสนอที่เหมาะสมได้ การดึงใครสักคนจากแดนกลางมาดริดมาเล่นในแอนฟิลด์จะเป็นการอัปเกรดเกมรับและการต่อบอลอย่างมหาศาลทันที

    เรือใบ–ปืน–ผี เปิดศึกแย่ง Tino Livramento

    Tino Livramento ฟูลแบ็กของนิวคาสเซิล ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในแบ็กขวาอนาคตไกลของอังกฤษ และนั่นทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ยังคงสนใจเขาอย่างจริงจัง แต่ปัญหาคือ ตอนนี้ทั้งแมนยูและอาร์เซนอลก็พร้อมกระโดดเข้ามาในดีลนี้เช่นกัน

    แน่นอนว่า ด้วยสัญญาของนักเตะและบทบาทปัจจุบันในทีม การดึงตัวเขาออกจากนิวคาสเซิลไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากมีข้อเสนอที่เหมาะสม โต๊ะเจรจาอาจเปิดได้เสมอ

    เอเจนต์ Iliman Ndiaye พบสามทีมใหญ่ – ลิเวอร์พูล, ซิตี้, สเปอร์ส

    ตัวแทนของ Iliman Ndiaye ปีกของเอฟเวอร์ตัน ได้มีการพูดคุยเบื้องต้นกับสามทีมใหญ่คือ ลิเวอร์พูล, แมนซิตี้ และท็อตแนม ฮอตสเปอร์ โดยเน้นไปที่ดีลในช่วงซัมเมอร์ปีหน้า

    เอ็นดิอายเป็นนักเตะที่มีสไตล์ตรงไปตรงมา ลุยเก่ง และทำงานหนัก ทั้งสามทีมต้องการเพิ่มตัวเลือกเกมรุกที่ยืดหยุ่น และเขาก็มีคุณสมบัติเข้ากับฟุตบอลสมัยใหม่อย่างดี

    João Gomes สนใจย้ายซบแมนยูตั้งแต่มกราคม

    มิดฟิลด์วูล์ฟอย่าง João Gomes ถูกพูดถึงว่า “สนใจ” การย้ายไปเล่นให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดตั้งแต่เดือนมกราคม หากทั้งสองสโมสรสามารถตกลงค่าตัวกันได้

    ด้วยสไตล์การเล่นที่ดุดันและไม่กลัวการปะทะ เขาอาจเป็นมิดฟิลด์ประเภทคอมแบตที่แมนยูต้องการมานาน

    แอสตันวิลล่าเล็ง Igor Thiago เป็นตัวแทนระยะยาวของ Ollie Watkins

    แอสตัน วิลล่าเริ่มมองอนาคตโดยพิจารณาเซ็น Igor Thiago กองหน้าของเบรนท์ฟอร์ดในฐานะตัวแทนระยะยาวของ Ollie Watkins หากวันหนึ่งต้องแยกทางกัน

    การวางแผนล่วงหน้าในตำแหน่งหัวหอกเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทีมที่ต้องการยืนระยะในพรีเมียร์ลีกและบอลยุโรปอย่างสม่ำเสมอ

    Ivan Toney ไม่คิดย้ายกลับยุโรปในเดือนมกราคม

    แม้จะมีความสนใจจากท็อตแนมและเวสต์แฮม ยูไนเต็ด แต่ Ivan Toney ระบุชัดว่า เขายังไม่ต้องการย้ายออกจากสโมสร Al Ahli ในซาอุฯ ในเดือนมกราคมนี้

    นั่นทำให้สองทีมจากลอนดอนต้องหาทางเลือกอื่น หากต้องการเสริมกองหน้าในช่วงตลาดหน้าหนาว

    ลาลีกา: บาร์ซ่าจ้อง Savinho แทน Raphinha – มาดริดเร่งแผนล่า Declan Rice และอาจรีเทิร์น Ramos

    Deco เล็ง Savinho เสียบแทน Raphinha หากถูกขาย

    ผู้อำนวยการกีฬาบาร์เซโลนาอย่าง เดโก้ มองว่า Savinho ปีกของแมนซิตี้คือ “ตัวแทนที่เหมาะสมที่สุด” หากวันหนึ่งสโมสรตัดสินใจขาย Raphinha ออกจากทีมในซัมเมอร์หน้า

    ซาวินโญ่มีทั้งความเร็ว การเลี้ยงกินตัว และเทคนิคในพื้นที่แคบ ซึ่งเข้ากับสไตล์การเล่นของบาร์ซ่าได้ไม่ยาก หากดีลนี้เกิดขึ้น นี่จะเป็นอีกหนึ่งการเชื่อมโยงเส้นทางระหว่างซิตี้และบาร์ซ่าในยุคใหม่

    แอตฯ มาดริดพร้อมปล่อย Conor Gallagher – แมนยู–สเปอร์สจับตา

    แอตเลติโก มาดริด เปิดทางพร้อมขาย Conor Gallagher มิดฟิลด์จอมขยันที่เคยเป็นกำลังสำคัญของเชลซี โดยมีทั้งแมนยูและท็อตแนมสนใจคว้าตัวกลับมาพรีเมียร์ลีก

    กัลลาเกอร์คือผู้เล่นที่วิ่งไม่มีหมด กดดันคู่แข่งเก่ง และเพิ่มความดุดันในแดนกลางได้ทันที ทีมที่ต้องการสร้างพลังงานใหม่ให้มิดฟิลด์ย่อมไม่มองข้ามเขาแน่นอน

    มาดริดเร่งเครื่องล่า Declan Rice – เป้าหมายซูเปอร์สตาร์รายต่อไป

    Declan Rice กองกลางของอาร์เซนอลทำผลงานได้โดดเด่นจนไปเตะตา Juni Calafat หัวหน้าทีมแมวมองของเรอัล มาดริดในเกมพบบาเยิร์น มิวนิก

    รายงานระบุว่า มาดริดพร้อม “เดินหน้าอย่างจริงจัง” เพื่อดึงไรซ์มาเป็นซูเปอร์สตาร์คนถัดไปของทีม โดยอาจถูกวางให้เป็นหัวใจแดนกลางระยะยาวต่อจากยุคของโครส–โมดริช ที่กำลังทยอยปิดฉากลง

    หากดีลนี้เกิดขึ้นจริง จะเป็นหนึ่งในการย้ายทีมที่พลิกโฉมสมดุลเชิงแท็กติกทั้งของอาร์เซนอลและมาดริดอย่างแน่นอน

    Ramos อยากกลับมาดริด แม้เป็นแค่ตัวสำรอง

    เซร์คิโอ รามอส เตรียมแยกทางกับมอนเตอร์เรย์แบบฟรี ๆ และมีรายงานว่า เขายินดีอย่างยิ่งหากได้กลับไปเรอัล มาดริดต่อให้เป็นแค่ “ตัวสำรอง” ก็ตาม

    สำหรับแฟนชุดขาวหลายคน นี่อาจเป็นการคัมแบ็กในเชิงสัญลักษณ์มากกว่าด้านแท็กติก แต่การมีรามอสอยู่ในทีม ย่อมเพิ่มทั้งคาแรกเตอร์ ห้องแต่งตัว และ DNA แห่งชัยชนะได้เสมอ

    Neymar เตือน Vini ไม่ให้ซ้ำรอยผิดพลาด

    รายงานยังระบุว่า เนย์มาร์ ได้แนะนำ Vinicius Junior ให้ต่อสัญญาใหม่กับเรอัล มาดริดต่อไป พร้อมยกตัวอย่างประสบการณ์ของตัวเอง ที่เลือกย้ายจากบาร์เซโลนาไป PSG เพื่อบทบาทที่ใหญ่ขึ้น แต่ลงเอยด้วยการถูกวิจารณ์และความกดดันมหาศาล

    เนย์มาร์เชื่อว่าการอยู่กับมาดริดต่อไปในฐานะสตาร์หมายเลขหนึ่งของสโมสร อาจเป็นเส้นทางที่มั่นคงและทรงพลังมากกว่าการย้ายออกไปล่าความฝันที่อื่น

    อลอนโซ่เล็ง Adam Wharton เป็นเป้าหมายหลักของมาดริด

    ปิดท้ายด้วยข่าวที่เชื่อมโยงกลับไปอังกฤษอีกครั้ง เมื่อ ชาบี อลอนโซ่ กุนซือเรอัล มาดริด มองว่า Adam Wharton มิดฟิลด์ของคริสตัล พาเลซคือ “เป้าหมายหลัก” ที่ต้องการดึงมาร่วมทีมให้ได้ตั้งแต่เดือนมกราคม

    หากมาดริดเอาจริง ดีลนี้อาจทำให้ตลาดมกราคมร้อนขึ้นกว่าที่คิด และจะกลายเป็นสงครามนอกสนามระหว่างมาดริดกับแมนยูที่ต่างก็ต้องการผู้เล่นคนเดียวกัน

    สรุปภาพรวม: ตลาดยังไม่เปิด แต่เกมย้ายตัวเริ่มเดินเต็มสปีดแล้ว

    จากดีลระดับ 200 ล้านยูโรของวินิซิอุส ไปจนถึงแผนการตามล่าดีแคลน ไรซ์ และการเคลื่อนไหวรอบตัวนักเตะอย่างเซเมนโย, เมนู, แกลลาเกอร์ หรือซาวินโญ่ ภาพชัดเจนคือ สโมสรใหญ่ไม่ได้คิดแค่ “แก้ปัญหาปัจจุบัน” แต่กำลังสร้างโครงสร้างใหม่สำหรับ 2–3 ฤดูกาลถัดหน้า

    ฤดูกาลหน้า เราอาจได้เห็นแมนยูที่มีแนวรุกใหม่ มาดริดที่มีแดนกลางโฉมใหม่ และบาร์ซ่าที่มีแนวรุกและกุนซือในแบบฉบับยุคถัดไปอย่างสมบูรณ์

    ฟุตบอลดีลใหญ่เพียงครั้งเดียวสามารถเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรได้ เช่นเดียวกับการตัดสินใจหนึ่งครั้งของคุณที่อาจเปลี่ยนประสบการณ์การลุ้นบอลให้สนุกกว่าที่เคย ถ้าคุณอยากให้ทุกแมตช์เต็มไปด้วยสีสันมากขึ้น ลองเปิดเกมไปกับ ufa169 แล้วปล่อยให้ทุกคืนแข่งขันกลายเป็นช่วงเวลาพิเศษ ufa169 คู่ลุ้นลูกหนังที่เข้าใจคอบอลตัวจริง

  • สรุปดราม่าลอนดอนดาร์บี้

    สรุปดราม่าลอนดอนดาร์บี้

    มิเกล เมริโน่ โขกกู้ชีพ ปืนใหญ่บุกเจ๊าเชลซี 10 คน รักษาจ่าฝูงแต่โดนไล่เหลือ 5 แต้ม

    มิเกล เมริโน่ ซัดประตูชัยช่วยให้อาร์เซนอลเอาชนะเชลซีที่เหลือ 10 คนได้สำเร็จ ขณะที่คะแนนนำในพรีเมียร์ลีกลดลงเหลือ 5 คะแนน แม้ว่ากองกลางเชลซีอย่าง โมเสส ไกเซโด จะได้รับใบแดง แต่เดอะบลูส์ก็สามารถขึ้นนำได้สำเร็จจากการยิงของเทรโวห์ ชาโลบาห์

    ศึกลอนดอนดาร์บี้ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ เต็มไปด้วยความดุเดือดตลอด 90 นาที เชลซีเหลือผู้เล่นเพียง 10 คนตั้งแต่ท้ายครึ่งแรก แต่กลับเป็นฝ่ายออกนำก่อนจากลูกโหม่งของเทรโวห์ ชาโลบาห์ ทว่าอาร์เซน่อลไม่ยอมง่ายๆ เมื่อมิเกล เมริโน่ สอดขึ้นมาโหม่งตีเสมอในครึ่งหลัง ช่วยให้ “ปืนใหญ่” เก็บหนึ่งแต้มสำคัญกลับออกไป พร้อมรักษาตำแหน่งจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก แต่ช่องว่างกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถูกย่อลงเหลือเพียง 5 คะแนนเท่านั้น

    ก่อนเกมนี้ อาร์เซน่อลอยู่ในช่วงฟอร์มร้อนแรงไร้พ่าย 17 นัดติดต่อกันรวมทุกรายการ ชนะถึง 14 นัด ขณะที่เชลซีก็ไม่ธรรมดา เก็บสถิติไม่แพ้ใครมา 7 นัดรวด และเพิ่งถล่มบาร์เซโลน่า 3-0 ในแชมเปียนส์ลีก ส่วนอาร์เซน่อลเองก็เพิ่งจัดการบาเยิร์น มิวนิค 3-1 ทำให้บรรยากาศก่อนลงสนามเต็มไปด้วยความมั่นใจทั้งสองฝั่ง อย่างไรก็ตาม มิเกล อาร์เตต้า ต้องเจอข่าวร้ายเมื่อวิลเลี่ยม ซาลิบา เซนเตอร์ฮาล์ฟคนสำคัญบาดเจ็บ พลาดลงช่วยทีมในเกมนี้

    เอ็นโซ่ มาเรสก้า นายใหญ่เชลซีพยายามลดกระแสกดดัน โดยย้ำว่า “ยังไม่ขอพูดเรื่องลุ้นแชมป์” เพราะทีมยังอายุน้อยและกำลังอยู่ในช่วงสร้างตัว แต่เมื่อเข้าสู่เกมจริง ลูกทีมของเขาแสดงให้เห็นชัดเจนว่าพร้อมจะยืนระยะชนกับจ่าฝูงอย่างไม่เกรงกลัว โดยเฉพาะการเพรสซิ่งสูง ใส่แรงในทุกจังหวะปะทะจนกลายเป็นสงครามกลางแดนอย่างแท้จริง

    ครึ่งแรกเริ่มต้นด้วยจังหวะลุ้นของทั้งสองฝั่ง อาร์เซน่อลมีโอกาสก่อนจากลูกยิงมุมแคบของบูคาโย่ ซาก้า ที่กดเต็มข้อไปเสาแรก แต่โรเบิร์ต ซานเชซ นายทวารเชลซียังเซฟได้ยอดเยี่ยม ทางฝั่งเจ้าถิ่นตอบโต้ด้วยลูกยิงไกลของเอ็นโซ่ แฟร์นานเดซ ที่บังคับให้ดาบิด ราย่า ต้องพุ่งปัดออกไป เกมจึงกลายเป็นการแลกหมัดกันแบบไม่มีใครยอมถอย

    ความเข้มข้นในสนามทำให้ใบเหลืองเริ่มออกจากกระเป๋ากรรมการอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองทีมต่างพยายามใช้ความแข็งแกร่งบดบี้คู่แข่ง ทุกการแท็คเกิลเต็มไปด้วยอารมณ์และเสียงเชียร์กดดันจากอัฒจันทร์ จนบรรยากาศในสนามเริ่มตึงเครียดทีละน้อย ก่อนที่จุดเปลี่ยนสำคัญของเกมจะมาถึงในนาทีที่ 38

    โมอิเซส ไกเซโด้ มิดฟิลด์ตัวรับของเชลซี เข้าปะทะเมริโน่แบบเปิดปุ่มใส่ข้อเท้าอย่างน่าเสียวไส้ ในจังหวะแรกกรรมการชักใบเหลืองให้เท่านั้น แต่หลังจากได้รับสัญญาณจาก VAR และเดินไปเช็กภาพข้างสนาม ใบเหลืองก็ถูกอัปเกรดเป็นใบแดงทันที ทำให้เชลซีเหลือผู้เล่นเพียง 10 คน และกลายเป็นใบแดงใบที่ 6 ของสโมสรในทุกรายการฤดูกาลนี้ ปลุกเสียงโห่จากแฟนบอลเจ้าถิ่นและอารมณ์เดือดในสนามให้ทวีความร้อนแรงยิ่งขึ้น

    หลังจากนั้นไม่นาน เหตุการณ์ก็ยิ่งปะทุเมื่อปิเอโร่ ฮินกาเป้ มีจังหวะยกศอกใส่ชาโลบาห์ในกรอบเขตโทษ ทำให้ผู้เล่นเชลซีรุมประท้วงเรียกร้องใบแดง แต่คราวนี้กรรมการยืนยันไม่ให้แม้แต่ใบเหลืองเพิ่ม สร้างความไม่พอใจอย่างหนักให้กับฝั่งสิงห์บลู ขณะที่อาร์เซน่อลเกือบลงโทษเจ้าถิ่นก่อนพักครึ่งจากลูกยิงของกาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ที่กดด้วยเท้าขวาเต็มแรง แต่ซานเชซยังบินปัดได้อีกครั้ง

    แม้อาร์เซน่อลจะถูกยกให้เป็น “จอมลูกนิ่ง” ของลีกในฤดูกาลนี้ หลังทำได้ถึง 10 ประตูจากลูกเซ็ตพีซใน 12 นัด ทว่าเชลซีก็ไม่ยอมน้อยหน้า เพราะสร้างสถิติตามมาแบบติดๆ ด้วยจำนวน 8 ประตูจากลูกตั้งเตะเช่นกัน และสถิตินี้เองที่กลายเป็นอาวุธสำคัญของสิงห์บลูในช่วงต้นครึ่งหลัง

    เริ่มครึ่งหลังได้เพียงสามนาที เชลซีได้ลูกเตะมุมทางฝั่งขวา รีซ เจมส์ เปิดบอลด้วยเท้าขวาโค้งเข้าไปที่เสาแรกตามสูตร เทรโวห์ ชาโลบาห์ วิ่งหนีตัวประกบแล้วโฉบโหม่งเช็ดบอลลอยผ่านมือราย่าเสียบเสาสองเข้าไปอย่างสวยงาม เป็นประตูขึ้นนำ 1-0 ของเจ้าถิ่น และเป็นประตูจากลูกตั้งเตะลูกที่ 9 ของเชลซีในลีก ทำเอาแฟนบอลในเดอะ บริดจ์ระเบิดเสียงเฮดังสนั่น พร้อมปลุกความเชื่อว่าทีมของตนอาจคว่ำจ่าฝูงได้แม้จะเหลือผู้เล่นน้อยกว่า

    โดนยิงนำทั้งที่ตัวผู้เล่นมากกว่า อาร์เตต้าไม่รอช้า เขาขยับเปลี่ยนเกมทันทีด้วยการส่งมาร์ติน โอเดการ์ด ลงมาคุมจังหวะในแดนกลาง และให้โนนี่ มาดูเอเก้ ลงสนามเผชิญหน้าต่อหน้าแฟนบอลทีมเก่า เสียงโห่ “Chelsea reject” ดังตามทุกครั้งที่แนวรุกเลือดผู้ดีสัมผัสบอล แต่คำวิจารณ์เหล่านั้นกลับกลายเป็นแรงผลักให้จังหวะเกมรุกของอาร์เซน่อลดูมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    การเปลี่ยนตัวเริ่มเห็นผลเมื่ออาร์เซน่อลเร่งสปีดบุกกดเชลซีอย่างต่อเนื่อง เกมถูกบีบให้เล่นอยู่หน้าเขตโทษเจ้าถิ่นแทบตลอดเวลา จนกระทั่งในนาทีที่ 59 จังหวะที่กลายเป็นไฮไลต์ของเกมก็มาถึง ซาก้าได้รับบอลทางริมเส้นขวา ก่อนใช้ความคล่องตัวหลบมาร์ก กูกูเรย่า ด้วยลีลาพริ้วไหว ล็อกหนึ่งจังหวะแล้วโยกหลอกอีกครั้งจนแบ็กซ้ายเชลซีเสียหลัก จากนั้นเปิดบอลโค้งเข้าเขตโทษได้อย่างแม่นยำ

    เมริโน่ที่ถูกอาร์เตต้าใช้งานในบทบาทกึ่งกองหน้า-กองกลาง สอดจากแนวสองเข้าไปในกรอบหกหลา เทกตัวโหม่งเต็มศีรษะแบบไม่ต้องจับ บอลพุ่งแรงผ่านมือซานเชซเสียบตาข่ายอย่างเด็ดขาด กลายเป็นประตูตีเสมอ 1-1 และยังเป็นประตูที่ 4 ของเขาในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ยืนยันว่าการขยับให้เขาเล่นในบทบาท “สไตรเกอร์จำเป็น” ของอาร์เตต้านั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่การทดลอง แต่คืออาวุธทางแท็คติกที่มีประสิทธิภาพจริง

    หลังได้ประตูตีเสมอ อาร์เซน่อลยังคงเดินหน้าไล่บดหวังคว้าชัยชนะให้ได้ ซาก้ากับเมริโน่สลับกันหาจังหวะยิง โดยเฉพาะลูกยิงเรียดเสาไกลของซาก้า และลูกโฉบยิงจ่อๆ ของเมริโน่ ที่ซานเชซยังโชว์ซูเปอร์เซฟปฏิเสธได้ทั้งหมด ทำให้เชลซียังมีลมหายใจและพยายามดึงจังหวะเล่นให้ช้าลงเพื่อรักษาหนึ่งแต้มอันล้ำค่า

    ช่วงท้ายเกมกลายเป็นการต่อสู้ทางสภาพร่างกายและจิตใจอย่างแท้จริง เชลซีที่เหลือเพียง 10 คนต้องวิ่งไล่บีบพื้นที่อย่างไม่หยุดพัก ขณะที่อาร์เซน่อลก็เริ่มแสดงอาการล้าหลังผ่านสัปดาห์สุดโหดที่เพิ่งเล่นกับบาเยิร์น มิวนิคมาไม่กี่วันก่อน แม้จะมีจังหวะครอสอันตรายและลูกยิงไกลให้ได้ลุ้นประปราย แต่สุดท้ายก็ไม่มีฝ่ายไหนหาประตูชัยเพิ่มได้ เมื่อเสียงนกหวีดสุดท้ายดังขึ้น ทั้งสองทีมต้องแบ่งแต้มกันไปแบบสุดระทึก

    หลังจบเกม เอ็นโซ่ มาเรสก้า ให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงภูมิใจในลูกทีม แม้จะเสียดายที่หลุดชัยชนะเล็กน้อย “ผมคิดว่าเราพิสูจน์แล้วว่าเรากำลังเดินมาถูกทาง 11 คน vs 11 คน เราเล่นได้ดีกว่าอย่างชัดเจน แต่เมื่อเหลือ 10 คน เกมมันยากมาก ทว่าลูกทีมของผมก็รับมือได้อย่างยอดเยี่ยม” เขากล่าว พร้อมย้ำว่า เชลซีชุดนี้ยังมีสิ่งให้พัฒนามากมายแต่โครงสร้างโดยรวมกำลังแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ

    ด้านมิเกล อาร์เตต้า มองเกมนี้ในเชิงบวกเช่นกัน แม้จะรู้สึกว่าทีมมีโอกาสได้มากกว่าหนึ่งแต้ม “ทั้งสองทีมเล่นด้วยความเข้มข้นและดุดันในทุกจังหวะแท็คเกิล คุณแทบจะสัมผัสได้ถึงไฟในสนาม เราทำประตูได้อย่างยอดเยี่ยม และมีโอกาสใหญ่ๆ อีกสองสามครั้ง มันเป็นสัปดาห์ที่หนักทั้งเรื่องสภาพร่างกายและอารมณ์ของทุกคน” กุนซือชาวสเปนกล่าว

    ในเชิงอันดับตารางคะแนน อาร์เซน่อลยังคงถูกมองเป็นตัวเต็งแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกนับตั้งแต่ปี 2004 แต่ผลเสมอในเกมนี้ทำให้ความกดดันเริ่มขยับเข้าใกล้มากขึ้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ห่างแค่ 5 แต้ม ขณะที่เชลซีก็ตามมาในระยะ 6 แต้ม และแสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาพร้อมจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในระยะยาว ไม่ใช่เพียง “ทีมดาวรุ่งกำลังสร้าง” ตามที่เมเนเจอร์พยายามลดความคาดหวังเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม จากมุมมองของแฟนอาร์เซน่อล แม้จะเสียดายที่ไม่สามารถฉวยโอกาสจากการเจอคู่แข่ง 10 คนเพื่อหนีห่างเชลซีได้มากกว่านี้ แต่หนึ่งแต้มในเกมเยือนศัตรูร่วมเมืองที่กำลังมั่นใจ ก็ยังถือว่าเป็นผลการแข่งขันที่ยอมรับได้ โดยเฉพาะเมื่อทีมต้องลงเล่นในโปรแกรมถี่และมีผู้เล่นตัวหลักบาดเจ็บ ขณะเดียวกันแฟนเชลซีก็มีเหตุผลให้พอใจ เพราะทีมสามารถต่อกรกับจ่าฝูงได้อย่างสูสี แถมแทบมีโอกาสเก็บสามแต้มเต็มด้วยซ้ำหากยืนระยะได้ดีกว่าในช่วง 30 นาทีสุดท้าย

    ในภาพรวม เกมนี้สะท้อนให้เห็นหลายอย่าง ทั้งความดุดันของเวทีพรีเมียร์ลีก ความสำคัญของวินัยในเกมรับ รวมถึงคุณค่าของผู้เล่นที่ปรับบทบาทได้อย่างยืดหยุ่นอย่างเมริโน่ ซึ่งกลายเป็นฮีโร่ช่วยอาร์เซน่อลกอบกู้แต้มสำคัญออกมาจากสแตมฟอร์ด บริดจ์ และยังทำให้การแข่งขันลุ้นแชมป์ระหว่างสามทีมบนหัวตารางดูเข้มข้นยิ่งขึ้นในช่วงเดือนต่อจากนี้

    และสำหรับแฟนบอลที่ไม่ได้อยากเป็นแค่ผู้ชม แต่สนุกกับการวิเคราะห์เกม ดูจังหวะเปลี่ยนโมเมนตัม หรือลองคาดเดาทิศทางตารางคะแนนต่อจากนี้ คุณสามารถเปลี่ยนความอินในทุกแมตช์ให้มีสีสันกว่าเดิม ด้วยการตามลุ้นผลงานของทีมรักควบคู่ไปกับโอกาสทำกำไรบนแพลตฟอร์มสายลูกหนังอย่าง ufa169 ที่เปิดให้คุณใช้มุมมองแบบเดียวกับผู้วิเคราะห์เกม มาต่อยอดเป็นการตัดสินใจที่ทั้งเร้าใจและมีชั้นเชิงในทุกสัปดาห์ของพรีเมียร์ลีก

  • โปรแกรม 5 นัด

    โปรแกรม 5 นัด

    ชัยชนะเหนือเวสต์แฮม กับ โปรแกรม 5 นัด ข้างหน้าที่อาจนิยามฤดูกาลของลิเวอร์พูล

    วิเคราะห์ โปรแกรม 5 นัด ข้างหน้า หลังจากเดือนพฤศจิกายนอันโหดร้ายที่ลิเวอร์พูลแพ้รวดให้ทั้งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ และพีเอสวี ไอนด์โฮเฟน แบบเสียสามประตูทุกนัด ฟอร์มของแชมป์เก่าดูเหมือนกำลังหลุดจากรางอย่างน่ากังวล เสียงวิจารณ์ถาโถมใส่ทีมของอาร์เน่ สลอต ไม่ว่าจะเป็นแท็กติก ความมั่นใจ หรือเคมีในแนวรุก ทว่าชัยชนะ 2-0 เหนือเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่ลอนดอน สเตเดียม กลับกลายเป็น “จุดพักหายใจ” ที่สำคัญอย่างยิ่ง และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างโมเมนตัมใหม่ในเดือนธันวาคม

    ประตูของอเล็กซานเดอร์ อิซัค และโคดี้ กัคโป ไม่ได้มีค่าแค่สามแต้ม แต่มันพาทีมขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 8 และตัดตอนสถิติแพ้สามนัดติดแบบสกอร์ขาดลอยลงได้สำเร็จ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ หลังจบเกมนี้ โปรแกรม 5 นัดข้างหน้าของลิเวอร์พูลถือว่า “เป็นมิตร” กว่าคู่แข่งหลักอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เชลซี และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในระดับหนึ่ง หากเก็บแต้มได้ตามเป้า หงส์แดงยังมีลุ้นกลับเข้าสู่ท็อปซิกซ์หรือแม้กระทั่งกดดันโซนท็อปโฟร์ได้อีกครั้ง

    โปรแกรม 5 นัด ข้างหน้าของลิเวอร์พูล โอกาสสร้างสตรีคใหม่

    ลิเวอร์พูลมีคิวลงเล่น 5 นัดถัดไปในพรีเมียร์ลีกดังนี้

    • ซันเดอร์แลนด์ (เหย้า) – พุธที่ 3 ธันวาคม
    • ลีดส์ ยูไนเต็ด (เยือน) – เสาร์ที่ 6 ธันวาคม
    • ไบรท์ตัน (เหย้า) – เสาร์ที่ 13 ธันวาคม
    • ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ (เยือน) – เสาร์ที่ 20 ธันวาคม
    • วูล์ฟส์ (เหย้า) – เสาร์ที่ 27 ธันวาคม

    แม้จะไม่ใช่โปรแกรมที่ง่ายทั้งหมด แต่เมื่อเทียบกับแรงกดดันและคู่แข่งที่เคยเจอในเดือนก่อน ถือว่าเป็นช่วงที่ลิเวอร์พูลสามารถตั้งเป้า “เก็บแต้มให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” เพื่อไล่จี้กลุ่มท็อปซิกซ์ โดยเฉพาะสองเกมแรกกับทีมน้องใหม่อย่างซันเดอร์แลนด์และลีดส์ ซึ่งบนกระดาษแล้วควรเป็นแมตช์ที่หงส์แดงต้องเน้นคว้าชัยแบบไม่ลังเล

    ซันเดอร์แลนด์ (เหย้า)  เกมที่ต้องชนะทั้งฟอร์มและความมั่นใจ

    การได้เล่นในแอนฟิลด์พบซันเดอร์แลนด์คือโอกาสทองของลิเวอร์พูลที่จะยืนยันว่า ชัยชนะเหนือเวสต์แฮมไม่ใช่เพียง “แฟลชเดียวในความมืด” แต่เป็นสัญญาณการฟื้นตัวจริงๆ เกมนี้แฟนบอลคงคาดหวังให้แนวรุกจบสกอร์คมกว่าเดิมหลังจากก่อนหน้านี้พลาดโอกาสง่ายๆ หลายครั้ง

    สำหรับอาร์เน่ สลอต เกมนี้ยังเป็นเวทีให้เขาปรับจูนไลน์อัพต่อไป ทั้งการใช้อิซัคจับคู่กับกัคโป การบริหารนาทีของฟลอเรียน เวิร์ตซ์ รวมถึงการหมุนเวียนแดนกลางเพื่อให้ทีมพร้อมสำหรับช่วงโปรแกรมถี่ปลายเดือน หากลิเวอร์พูลสามารถเก็บสามแต้มแบบไม่ต้องลุ้นจนวินาทีสุดท้าย บรรยากาศรอบสโมสรจะผ่อนคลายลงมาก

    ลีดส์ ยูไนเต็ด (เยือน)  การเยือนถิ่นน้องใหม่ที่ประมาทไม่ได้

    แม้ลีดส์จะเป็นทีมน้องใหม่ แต่การบุกไปเอลแลนด์ โร้ดไม่เคยเป็นงานง่ายสำหรับใคร เสียงเชียร์อันดุเดือด สไตล์การเล่นบีบพื้นที่เร็ว และพลังงานของผู้เล่นที่มักจะใส่เต็มร้อยเมื่อต้องเจอทีมใหญ่ ทำให้เกมนี้มีความเสี่ยงไม่น้อย หากลิเวอร์พูลเริ่มต้นเกมช้า หรือปล่อยให้คู่แข่งขึ้นนำก่อน

    จากมุมมองของตารางคะแนน การเก็บหกแต้มเต็มจากสองเกมกับซันเดอร์แลนด์และลีดส์ คือ “มิชชั่นหลัก” ของสัปดาห์แรกในเดือนธันวาคม เพราะหากพลาดเสมอหรือแพ้ในเกมใดเกมหนึ่ง แรงกดดันจะยิ่งถาโถมกลับมาที่สลอตและลูกทีมทันที ในทางกลับกัน หากคว้าชัยได้ทั้งสองนัด หงส์แดงจะกลับขึ้นไปใกล้โซนท็อปซิกซ์อย่างจริงจัง

    ไบรท์ตัน (เหย้า)  งานยากที่สนามตัวเอง

    ไบรท์ตันอาจจะฟอร์มแกว่งในการเล่นเป็นทีมเยือน แต่พวกเขาแสดงให้เห็นแล้วว่าสามารถเอาชนะทีมใหญ่อย่างน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ในเกมล่าสุด ทำให้การดวลกับลิเวอร์พูลที่แอนฟิลด์ในกลางเดือนธันวาคมนี้กลายเป็นเกมที่น่าจับตา

    ไบรท์ตันเป็นทีมที่เล่นบอลกับพื้นดี เซ็ตเกมจากหลังได้อย่างเป็นระบบ และใช้การเคลื่อนที่ของแนวรุกทำร้ายแนวรับที่เสียสมาธิได้ง่าย ลิเวอร์พูลจึงต้องบาลานซ์ให้ดีระหว่างการเดินหน้าบุกเพื่อเอาประตูแรกกับการวางโครงสร้างเกมรับไม่ให้โดนโต้กลับง่ายๆ หากเก็บชัยชนะเหนือทีมสไตล์จัดจ้านแบบนี้ได้ จะยิ่งช่วยตอกย้ำภาพว่า “ลิเวอร์พูลเริ่มกลับมาเป็นทีมที่ควบคุมเกมในบ้านได้อีกครั้ง”

    ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ (เยือน)  บททดสอบสำคัญก่อนคริสต์มาส

    การบุกไปเยือนสเปอร์สในช่วงก่อนคริสต์มาสคือหนึ่งในโปรแกรมที่โหดที่สุดของชุดนี้ แม้สเปอร์สจะมีปัญหาเรื่องความสม่ำเสมอและฟอร์มในบ้านไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนเคย แต่แนวรุกของพวกเขายังเปี่ยมไปด้วยความอันตราย โดยเฉพาะในจังหวะฉาบฉวยและการเล่นเร็วจากแดนกลาง

    สำหรับลิเวอร์พูล เกมนี้อาจเป็นแมตช์ชี้ชัดในสายตาแฟนบอลว่าทีมของสลอตพร้อมสำหรับการกลับมายืนในกลุ่มลุ้นพื้นที่ยุโรปจริงๆ หรือยัง หากสามารถเก็บอย่างน้อยหนึ่งแต้ม หรือดีกว่านั้นคือบุกชนะออกมาได้ โมเมนตัมช่วงบ็อกซิงเดย์จะเปิดโล่งอย่างมาก

    วูล์ฟส์ (เหย้า)  นัดส่งท้ายปีที่ต้องการสามแต้มเป็นของขวัญ

    เกมสุดท้ายในโปรแกรม 5 นัดนี้คือการเปิดบ้านรับมือวูล์ฟส์ ทีมที่ฟอร์มโดยรวมยังแกว่งและต้องลุ้นหนีโซนล่างของตาราง ลิเวอร์พูลเหนือกว่าในแง่คุณภาพผู้เล่นและบรรยากาศในแอนฟิลด์ แต่ก็ห้ามลืมว่า วูล์ฟส์เป็นทีมที่ถ้าปล่อยให้เล่นได้ตามสไตล์ ก็สามารถสร้างปัญหาให้ทีมใหญ่ได้เสมอ

    ในมุมของจิตวิทยา หากลิเวอร์พูลสามารถจบเดือนธันวาคมด้วยชัยชนะในบ้าน เกมนี้อาจกลายเป็นเหมือน “จุดเริ่มต้นใหม่” ของครึ่งหลังฤดูกาล ทำให้แฟนบอลมองภาพรวมด้วยความหวังมากกว่าความกังวลอย่างที่เคยเป็นในช่วงต้นซีซั่น

    เมื่อเทียบกับเชลซี โปรแกรมที่ไม่ง่ายแต่เต็มไปด้วยกับดัก

    เชลซีมีโปรแกรม 5 นัดถัดไปดังนี้

    • ลีดส์ ยูไนเต็ด (เยือน)
    • บอร์นมัธ (เยือน)
    • เอฟเวอร์ตัน (เหย้า)
    • นิวคาสเซิล (เยือน)
    • แอสตัน วิลล่า (เหย้า)

    แม้จะดูเหมือนเป็นโปรแกรมที่ไม่ได้โหดจัด แต่นี่คือชุดเกมที่เต็มไปด้วย “กับดัก” โดยเฉพาะแมตช์เยือนลีดส์และบอร์นมัธ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความดุดันในบ้านตัวเอง รวมไปถึงเกมเยือนนิวคาสเซิลที่มักจะเป็นสนามทดสอบความแข็งแกร่งของทุกทีม

    เมื่อเทียบกับลิเวอร์พูล เชลซีอาจไม่ได้เจอท็อตแนมแบบตรงๆ ในช่วงนี้ แต่การมีเกมเยือนถึงสามนัดในห้าเกมก็ทำให้โอกาสสะดุดมีสูงไม่น้อย หากลิเวอร์พูลทำแต้มหลุดมือแค่หนึ่งหรือสองเกม ขณะที่เชลซีสะดุดมากกว่า ภาพในตารางคะแนนอาจขยับเข้ามาใกล้กันอย่างรวดเร็ว

    แมนเชสเตอร์ ซิตี้  โปรแกรมดูไม่ดุ แต่มีความเสี่ยงจากเกมเยือน

    ซิตี้ต้องลงเล่นกับ

    • ฟูแล่ม (เยือน)
    • ซันเดอร์แลนด์ (เหย้า)
    • คริสตัล พาเลซ (เยือน)
    • เวสต์แฮม (เหย้า)
    • น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ (เยือน)

    ในเชิงชื่อชั้นคู่แข่ง โปรแกรมของซิตี้ไม่ได้ดูโหดเกินไป แต่การต้องออกไปเยือนถึงสามเกมในหนึ่งเดือน เป็นอะไรที่ไม่สามารถมองข้ามได้ ฟูแล่ม พาเลซ และฟอเรสต์ ต่างก็เป็นทีมที่เล่นเกมเหย้าได้เหนียวแน่น หากซิตี้เผลอหลุดสมาธิไปแม้แต่นิดเดียว ก็มีสิทธิ์ทำแต้มหล่นได้ในบางแมตช์

    สำหรับลิเวอร์พูลที่ “หลุดจากวงลุ้นแชมป์” ไปแล้วตามมุมมองจากสื่ออังกฤษ เป้าหมายหลักอาจไม่ใช่การไล่ทันซิตี้โดยตรง แต่การรักษาระยะห่างให้ไม่โดนทิ้งขาดมากเกินไปก็สำคัญ เพราะมันมีผลทั้งเรื่องความมั่นใจของทีมและทิศทางในฤดูกาลหน้า

    แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฟอร์มเริ่มนิ่ง แต่โปรแกรมท้ายปีจะพิสูจน์ของจริง

    โปรแกรม 5 นัดของแมนยูคือ

    • เวสต์แฮม (เหย้า)
    • วูล์ฟส์ (เยือน)
    • บอร์นมัธ (เหย้า)
    • แอสตัน วิลล่า (เยือน)
    • นิวคาสเซิล (เหย้า)

    การแพ้เพียงหนึ่งเกมจากเจ็ดแมตช์หลังสุดทำให้แมนยูขยับอันดับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่ชุดโปรแกรมนี้จะเป็นตัววัดว่า “ความคงเส้นคงวา” ของพวกเขาเป็นของจริงแค่ไหน เพราะต้องเจอทีมที่มีสไตล์แตกต่างกันทั้งเกมเหย้าและเยือน

    เกมกับเวสต์แฮมและบอร์นมัธในบ้าน อาจเป็นโอกาสเก็บแต้มที่ดี แต่การไปเยือนแอสตัน วิลล่า รวมถึงการเปิดบ้านดวลนิวคาสเซิล ล้วนเป็นแมตช์ที่สามารถออกได้สามหน้า หากแมนยูสะดุดมากกว่าหนึ่งเกม ในขณะที่ลิเวอร์พูลเก็บแต้มได้ตามเป้า ช่องว่างในตารางจะหดลงจนกลับมาลุ้นกันสนุกแน่นอน

    ภาพรวม: ลิเวอร์พูลได้เปรียบเล็กน้อย แต่ทุกแต้ม “ต้อง” มาจากความละเอียด

    เมื่อมองโปรแกรม 5 นัดของทั้งลิเวอร์พูล เชลซี แมนซิตี้ และแมนยู จะเห็นว่า

    • ซิตี้ยังเป็นทีมที่มีศักยภาพสูงสุด แต่ต้องออกเยือนเยอะ
    • เชลซีมีหลายเกมเยือนที่พร้อมสร้างปัญหา
    • แมนยูต้องเจอคู่แข่งระดับกลางขึ้นไปถึงสามสี่ทีม
    • ลิเวอร์พูลมีบาลานซ์ระหว่างเกมเหย้า–เยือน และเจอทีมน้องใหม่สองนัดรวดในช่วงแรก

    ด้วยเหตุนี้ จึงไม่เกินเลยนักหากจะบอกว่า “ลิเวอร์พูลมีโอกาสไล่เก็บแต้มเพื่อเบียดเข้าใกล้ท็อปซิกซ์มากกว่าบางทีมในช่วงคริสต์มาส” แต่จุดชี้ขาดไม่ใช่แค่ตารางแข่งขันที่ดูเป็นใจ แต่อยู่ที่การรักษาฟอร์มให้ต่อเนื่อง การลดความผิดพลาดง่ายๆ ในแนวรับ และการจบสกอร์ให้เฉียบคมยิ่งขึ้น

    หากอาร์เน่ สลอตและลูกทีมใช้โปรแกรมช่วงปลายปีนี้เป็นบันไดไต่ขึ้นไป ไม่แน่ว่าจากมุมมองที่เคยมองว่าหลุดจากวงลุ้นแชมป์ไปแล้ว อาจเปลี่ยนเป็นภาพของทีมที่ “กลับมาแข็งแกร่ง” พร้อมท้าทายทุกสโมสรในครึ่งหลังของฤดูกาล

    ถ้าคุณชอบนั่งไล่ดูโปรแกรม 5 นัดข้างหน้าของลิเวอร์พูล เทียบฟอร์ม เทียบตาราง และคอยลุ้นว่าแมตช์ไหนจะทำให้ทีมรักกลับมามีลุ้นพื้นที่ยุโรปได้อีกครั้ง
    ลองต่อยอดมุมมองคอลูกหนังให้กลายเป็นการลุ้นที่สนุกและมีชั้นเชิงมากขึ้นไปกับ ufa169 เว็บที่ให้คุณตามเกม วิเคราะห์ และอินไปกับทุกแต้มสำคัญของหงส์แดงได้มากกว่าการเป็นแค่ผู้ชมหน้าจอ