วิลฟรีด น็องซี ยังคงเริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างเลวร้ายต่อเนื่อง เมื่อเซนต์มิเรนเอาชนะเซลติกคว้าแชมป์สกอตติชลีกคัพ ufa169
หากมีคำว่า “ฝันร้าย” ที่เหมาะจะใช้อธิบายการเริ่มต้นคุมทีมของ วิลฟรีด น็องซี กับเซลติก คำนี้คงไม่เกินจริงแม้แต่น้อย หลังจากยักษ์ใหญ่แห่งสกอตแลนด์พ่ายแพ้ให้กับ เซนต์ เมียร์เรน 1-3 ในนัดชิงชนะเลิศ พรีเมียร์ สปอร์ตส์ คัพ ที่แฮมป์เดน พาร์ก ท่ามกลางสายตาแฟนบอลและความคาดหวังมหาศาล
เกมนี้ไม่ได้เป็นเพียงความพ่ายแพ้ธรรมดา แต่เป็นการเสียถ้วยแชมป์ต่อทีมที่ถูกมองว่าเป็นรองแทบทุกมิติ และยังเป็นการตอกย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงยุคสมัยในถิ่นเซลติก พาร์ก ภายใต้การนำของน็องซี กำลังเผชิญความท้าทายหนักหน่วงกว่าที่หลายคนคาดคิดไว้มาก
จุดเริ่มต้นที่เลวร้าย: เซนต์ เมียร์เรนยิงนำตั้งแต่นาทีที่ 2
เกมเริ่มต้นได้เพียง 90 วินาที เซลติกก็ต้องช็อกทันที เมื่อเซนต์ เมียร์เรนได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็ว จากลูกเตะมุมที่แนวรับเซลติกจัดการกันอย่างหลวม ๆ และเป็น มาร์คัส เฟรเซอร์ อดีตกองหลังของเซลติกเอง ที่สลัดตัวประกบก่อนโหม่งบอลจากลูกเปิดของ คีอานู แบ็คคัส ผ่านเสาเข้าไปแบบเฉียบขาด
การเสียประตูเร็วขนาดนี้ ไม่เพียงทำให้แผนของเซลติกสะดุด แต่ยังเปิดโอกาสให้เซนต์ เมียร์เรนได้เล่นในรูปแบบที่ถนัด นั่นคือการตั้งรับให้แน่นและรอสวนกลับอย่างมีวินัย ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่เซลติกภายใต้น็องซี ยังแก้ไม่ตกในช่วงเริ่มต้นยุคใหม่
เรโอะ ฮาตาเตะ จุดประกายความหวังที่มาเพียงชั่วคราว
แม้จะเริ่มต้นอย่างย่ำแย่ แต่เซลติกก็แสดงให้เห็นถึงคุณภาพในเกมรุก เมื่อ เรโอะ ฮาตาเตะ วิ่งสอดหลังแนวรับเข้าไปวอลเลย์ลูกเปิดจาก คีแรน เทียร์นีย์ อย่างเฉียบขาด บอลพุ่งเสียบเสาไกลเข้าไปกลางครึ่งแรก ทำให้สกอร์กลับมาเท่ากัน 1-1 ท่ามกลางบรรยากาศที่เดือดพล่าน
ช่วงเวลานั้นดูเหมือนว่าเซลติกจะกลับมาอยู่ในเกม และหลายคนคาดหวังว่าแรงกดดันและประสบการณ์ในเกมใหญ่จะค่อย ๆ บีบให้เซนต์ เมียร์เรนพลาดในที่สุด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
หลังจากตีเสมอได้ เซลติกกลับ “ดร็อป” ระดับความเข้มข้นลงอย่างน่าประหลาด การครองบอลเริ่มไร้ประสิทธิภาพ จังหวะเข้าทำขาดความเด็ดขาด และการยืนตำแหน่งในแดนกลางเริ่มเปิดช่องว่างให้คู่แข่งใช้ประโยชน์
โจนาห์ อายุนกา ฮีโร่แห่งเพสลีย์ กับสองประตูที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์
ครึ่งหลังกลายเป็นเวทีของ โจนาห์ อายุนกา อย่างแท้จริง กองหน้าของเซนต์ เมียร์เรน ที่ก่อนหน้านี้ยิงประตูในลีกไม่มากนัก กลับระเบิดฟอร์มสุดยอดในเกมสำคัญที่สุดของฤดูกาล
ประตูที่สองของเกมในนาทีที่ 64 เกิดจากลูกเปิดสุดสวยแบบไม่จับของ อเล็กซ์ โกกิช ที่ยกบอลข้ามแนวรับเซลติกได้อย่างแม่นยำ และอายุนกาก็ไม่พลาด โขกบอลข้ามตัว คาสเปอร์ ชไมเคิล ที่พยายามออกมาปิดมุมเข้าไปอย่างเหนือชั้น
เพียง 12 นาทีต่อมา ความผิดพลาดของเซลติกในจังหวะสวนกลับก็ถูกลงโทษอย่างเจ็บแสบ มิเกล เฟร็คเคิลตัน วางบอลยาวฉีกแนวรับจนเซลติกเปิดพื้นที่โล่ง จอห์น หลุดไปทางริมเส้นก่อนจะดึงจังหวะและจ่ายย้อนมาให้อายุนกาซัดด้วยจังหวะแรกผ่านชไมเคิลเข้าไป เป็นประตูที่ตอกย้ำความเหนือกว่าของเซนต์ เมียร์เรนในเกมนี้อย่างเด็ดขาด
ความผิดพลาดเชิงแท็กติก และปัญหาที่สะสมของเซลติกยุคน็องซี
แม้วิลฟรีด น็องซี จะยึดมั่นในระบบการเล่นที่เขาเชื่อมั่น และมีการปรับตำแหน่งผู้เล่นบางจุด เช่น การขยับ แอนโทนี รัลสตัน มาเล่นในแนวรับสามคน และให้ เทียร์นีย์ ขึ้นเป็นวิงแบ็ก แต่ภาพรวมของเกมยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาหลายด้าน
เซลติกขาดความสมดุลระหว่างเกมรุกและเกมรับ แดนกลางไม่สามารถควบคุมจังหวะได้ต่อเนื่อง และเมื่อเสียบอลในพื้นที่อันตราย การเปลี่ยนจากรุกเป็นรับช้าเกินไป ทำให้โดนสวนกลับซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การบาดเจ็บของ เคเลชี อิเฮียนาโช ในนาทีที่ 35 ยิ่งทำให้แผนของน็องซีสะดุด แม้จะมีตัวสำรองอย่าง จอห์นนี เคนนี ลงมาแทน แต่จังหวะและความเชื่อมโยงในเกมรุกก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
น็องซี กับสถิติที่ไม่น่าจดจำ และแรงกดดันที่ถาโถม
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้น็องซี กลายเป็นผู้จัดการทีมเซลติกคนแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ที่แพ้สองนัดแรกในการคุมทีม ต่อจากความพ่ายแพ้ก่อนหน้านี้ให้กับ ฮาร์ทส์ และ โรม่า และเมื่อรวมกับการชวดแชมป์ลีกคัพ ก็เท่ากับเป็น “แฮตทริกแห่งความผิดหวัง” ที่เพิ่มแรงกดดันต่อบอร์ดบริหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เสียงวิจารณ์จากแฟนบอลเริ่มดังขึ้น โดยเฉพาะคำถามว่า ระบบการเล่นแบบใหม่เหมาะสมกับนักเตะที่มีอยู่หรือไม่ และน็องซีจะได้รับเวลาในการปรับทีมมากแค่ไหน ในสโมสรที่คุ้นเคยกับความสำเร็จมากกว่าความอดทน
ฝั่งผู้ชนะ: สตีเฟน โรบินสัน กับความสำเร็จที่สร้างประวัติศาสตร์ให้เซนต์ เมียร์เรน
ในขณะที่ฝั่งเซลติกเต็มไปด้วยความผิดหวัง เซนต์ เมียร์เรนกลับเฉลิมฉลองค่ำคืนประวัติศาสตร์อย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้การนำของ สตีเฟน โรบินสัน กุนซือที่พาทีมคว้าแชมป์รายการใหญ่เป็นสมัยที่ 5 ของสโมสร และเป็นแชมป์ลีกคัพครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2013
ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากโชค แต่เป็นผลลัพธ์ของการวางแท็กติกที่ชัดเจน วินัยในเกมรับ และการใช้โอกาสอย่างเฉียบคม โรบินสันยังพาทีมจบอันดับท็อปซิกซ์ติดต่อกันถึงสามฤดูกาล และถ้วยใบนี้คือรางวัลแห่งความสม่ำเสมอและการทำงานหนักอย่างแท้จริง
เกมที่สะท้อนความต่างของ “เสถียรภาพ” ระหว่างสองสโมสร
เมื่อมองย้อนกลับไป เกมนี้ไม่ใช่แค่ชัยชนะของทีมเล็กเหนือทีมใหญ่ แต่เป็นภาพสะท้อนของความต่างในช่วงเวลาปัจจุบัน เซนต์ เมียร์เรนมีโครงสร้างที่ชัด ผู้เล่นเข้าใจบทบาท และเชื่อมั่นในแผนของโค้ช ขณะที่เซลติกยังอยู่ในช่วง “รื้อสร้าง” ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ความแตกต่างนี้ชัดเจนที่สุดในช่วงครึ่งหลัง เมื่อเซนต์ เมียร์เรนเล่นด้วยความมั่นใจ ไม่ตื่นสนาม และลงโทษทุกความผิดพลาดของคู่แข่ง ขณะที่เซลติกเริ่มเสียศูนย์และเปิดพื้นที่มากขึ้นเรื่อย ๆ
บทสรุป: จุดเริ่มต้นที่ยากลำบาก กับบททดสอบตัวจริงของ วิลฟรีด น็องซี
ความพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศสก็อตติช ลีกคัพครั้งนี้ คือบททดสอบที่โหดร้ายสำหรับ วิลฟรีด น็องซี และเป็นสัญญาณเตือนว่า การเปลี่ยนผ่านยุคสมัยของเซลติกจะไม่ราบรื่นอย่างที่หวัง
อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลยังอีกยาวไกล และคำถามสำคัญที่สุดไม่ใช่ว่า “เซลติกพลาดแชมป์ไปแล้ว” แต่คือ “บอร์ดบริหารและแฟนบอลจะให้เวลาแก่กระบวนการใหม่มากแค่ไหน” เพราะหากไม่มีความอดทน ระบบใหม่ย่อมไม่มีวันหยั่งราก และความวุ่นวายอาจยิ่งทวีคูณ
สำหรับเซนต์ เมียร์เรน นี่คือคืนแห่งความทรงจำ ที่จะถูกเล่าขานไปอีกนาน และเป็นเครื่องยืนยันว่า ในฟุตบอล ถ้าคุณมีวินัย มีแผน และเชื่อมั่นในตัวเอง ทีมเล็กก็สามารถสร้างประวัติศาสตร์ได้เสมอ
ฟุตบอลถ้วยตัดสินกันที่ความนิ่งและการลงโทษความผิดพลาดเพียงเสี้ยววินาที ถ้าคุณอ่านเกมออกก่อนใครและไม่พลาดทุกจังหวะสำคัญ ติดตามมุมมองเข้ม ๆ ได้ที่ ufa169
