อดีต กุนซือทีมชาติอังกฤษ ชี้ทำไมอาร์เซนอลถึงได้เปรียบในการลุ้นแชมป์ครั้งนี้

กุนซือทีมชาติอังกฤษ

อดีต กุนซือทีมชาติอังกฤษ และตำนานพรีเมียร์ลีกเชื่อว่าอาร์เซนอลจะรับมือกับปัญหาอาการบาดเจ็บ และใช้ประโยชน์จากปัญหาของลิเวอร์พูลเพื่อมุ่งสู่การคว้าแชมป์ครั้งแรกในรอบหลายปี

กุนซือทีมชาติอังกฤษ ในเดือนพฤษภาคม ปี 2023 แฟนบอลพรีเมียร์ลีกยังจำภาพ แซม อัลลาร์ไดซ์ ในบทบาทผู้จัดการทีมลีดส์ ยูไนเต็ด ที่เต็มไปด้วยความมั่นใจได้ดี คำพูดของเขาในวันเปิดตัว “ผมอาจจะอายุ 68 แล้วก็เถอะ แต่ในเรื่องฟุตบอล ไม่มีใครเหนือกว่าผม ทั้งเป๊ป ทั้งคล็อปป์ หรืออาร์เตต้า” สะท้อนบุคลิกแบบ “บิ๊กแซม” ชัดเจน เพราะตลอดเส้นทางคุมทีม เขาไม่เคยขาดความเชื่อในตัวเองเลยแม้แต่น้อย

แต่เวลาผ่านมาถึงวันนี้ ในวัย 71 ปี อัลลาร์ไดซ์อาจไม่ได้ออกมาพูดว่าเขาเหนือกว่าโค้ชยุคใหม่โดยตรง ทว่าในอีกมุมหนึ่งเขากลับยอมรับว่า มิเกล อาร์เตต้า กำลังเติบโตขึ้นจนกลายเป็นกุนซือระดับแถวหน้าของพรีเมียร์ลีก และฤดูกาลนี้อาจเป็น “ปีของอาร์เซนอล” อย่างแท้จริง หากทีมสามารถยืนระยะได้ตามที่เขาคาดหวัง

สิ่งที่ทำให้บิ๊กแซมประทับใจที่สุดไม่ใช่แค่สไตล์การเล่นเกมรุกของอาร์เซนอลที่ดุดันและหลากหลาย แต่คือ “เกมรับ” ที่กลายเป็นจุดแข็งหลัก เขาย้ำชัดในบทสัมภาษณ์ว่า แนวคิดพื้นฐานของการลุ้นแชมป์คือ “เกมรุกชนะเกมหนึ่งเกม แต่เกมรับดีต่างหากที่พาทีมคว้าแชมป์ลีก” และอาร์เซนอลชุดนี้ตอบโจทย์แนวคิดนั้นได้อย่างชัดเจน

ออลาร์ไดซ์มองว่า การที่อาร์เตต้าได้รับการสนับสนุนจากบอร์ดบริหารอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 5–6 ปีที่ผ่านมา คือหัวใจสำคัญของความสำเร็จ เพราะกว่าทีมจะพัฒนาจากช่วงเปลี่ยนถ่ายรุ่นนักเตะ มาจนถึงการลุ้นแชมป์เต็มตัว ต้องใช้เวลาและความอดทนสูง เขายกตัวอย่างว่า หากเป็นสโมสรอื่น บางทีโค้ชอาจถูกปลดไปแล้วในช่วงปีแรก ๆ ที่ผลงานยังไม่เข้าที่ แต่บอร์ดของอาร์เซนอลกลับเลือกที่จะ “เชื่อและรอ”

ในมุมของการแข่งขันกับคู่แข่งโดยตรง บิ๊กแซมชี้ให้เห็นว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทั้งในแง่โครงสร้างทีมและการปรับสไตล์บางส่วนหลังการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่น ขณะที่ลิเวอร์พูลกำลังเจอ “ปัญหาการผสมผสานตัวใหม่” หรือการอินทิเกรตนักเตะหน้าใหม่เข้าสู่ระบบเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากต่อให้คุณลงทุนไปมากเท่าใดก็ตาม

เขาอธิบายว่า การดึงนักเตะเก่ง ๆ เข้ามา ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะลงล็อกในทันที เพราะปัจจัยด้านวัฒนธรรม ห้องแต่งตัว บุคลิกส่วนตัว และการยอมรับกันภายในทีม ล้วนมีผลต่อการปรับตัวของผู้เล่นใหม่ ซึ่งกำลังเป็นโจทย์ใหญ่ของลิเวอร์พูลในตอนนี้ และความไม่ลงตัวนี้เองที่สะท้อนออกมาในตัวเลขการเสียประตูที่สูงผิดปกติ

ในทางกลับกัน สถิติของอาร์เซนอลกลับสวนทางกันอย่างชัดเจน หลังผ่าน 11 นัดแรกของพรีเมียร์ลีก พวกเขาเสียเพียง 5 ประตูเท่านั้น โดย 2 ลูกในจำนวนนี้มาจากเกมเสมอกับซันเดอร์แลนด์ นั่นทำให้ออลาร์ไดซ์ชื่นชมเป็นพิเศษว่า ปืนใหญ่กำลังสร้างเอกลักษณ์ของ “ทีมลุ้นแชมป์ที่มีเกมรับแน่นที่สุดทีมหนึ่งของลีก” ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่เขาให้ความสำคัญมาตลอดชีวิตการคุมทีม

แม้อาร์เซนอลจะต้องเจอข่าวร้ายเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของ กาเบรียล และผู้เล่นสำคัญคนอื่น ๆ แต่บิ๊กแซมกลับมองในแง่บวก เขาเชื่อว่า “ความลึกของขุมกำลัง” ในทีมชุดปัจจุบันดีขึ้นกว่าเมื่อ 2–3 ปีก่อนอย่างชัดเจน แนวรับไม่ได้พึ่งพาใครเพียงคนเดียว และอาร์เตต้าสามารถปรับคู่เซ็นเตอร์แบ็กหรือฟูลแบ็กให้เข้ากับสถานการณ์ได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก

ออลาร์ไดซ์ยังมองย้อนกลับไปถึงฤดูกาลที่อาร์เซนอล “ปล่อยโอกาสหลุดมือ” เมื่อสามปีก่อน เขาพูดตรง ๆ ว่า “พวกเขาน่าจะเป็นแชมป์ไปแล้วในปีนั้น แต่รับมือกับความกดดันไม่อยู่” คำพูดนี้ฟังดูแรง แต่แฝงความจริงที่ว่า ประสบการณ์ลุ้นแชมป์คือสิ่งที่ต้องเรียนรู้ผ่านความผิดหวัง ซึ่งตอนนี้อาร์เซนอล เองก็ผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้ว

ในฤดูกาลปัจจุบัน เขาจึงเชื่อว่าทีมของอาร์เตต้า “พร้อมกว่าเดิม” ทั้งในด้านจิตวิทยาและคุณภาพนักเตะ การที่ทีมสามารถเล่นเกมรุกได้หลากหลาย มีตัวเลือกแนวรุกมากมาย ทั้งกองหน้าตัวเป้า ปีกที่สลับฝั่งกันได้ รวมถึงกองกลางที่ทำประตูได้ ทำให้การรับมืออาร์เซนอลไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคู่แข่ง

อีกหนึ่งมิติสำคัญที่บทความกล่าวถึง คือบทบาทของออลาร์ไดซ์ในฐานะผู้สนับสนุนแคมเปญ Every Minute Matters ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง Sky Bet กับ British Heart Foundation เพื่อรณรงค์ให้คนในวงการฟุตบอล โดยเฉพาะระดับรากหญ้า เรียนรู้ทักษะการทำ CPR และการใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า (AED)

แรงบันดาลใจของเขามาจากเหตุการณ์ช็อควงการฟุตบอลอังกฤษ เมื่อ ฟาบริซ มูอัมบ้า อดีตนักเตะโบลตัน วันเดอเรอร์ส เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นกลางสนามในเกมเอฟเอคัพที่ไวท์ ฮาร์ท เลน ในปี 2012 หัวใจของเขาหยุดเต้นไปถึง 78 นาทีเต็ม แต่สามารถฟื้นกลับมาได้เพราะมีการทำ CPR และใช้เครื่อง AED อย่างทันท่วงที

ออลาร์ไดซ์เล่าว่า เขายังจำรายละเอียดของเหตุการณ์นั้นได้อย่างชัดเจน แม้จะออกจากโบลตันไปแล้วสองปีก็ตาม มันกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการช่วยชีวิตเบื้องต้นในสนามฟุตบอล เขาเน้นย้ำว่า ทีมสมัครเล่นส่วนใหญ่ไม่มีทีมแพทย์ประจำเหมือนระดับอาชีพ ดังนั้นสิ่งเดียวที่จะช่วยชีวิตได้คือ “ความรู้ของคนรอบตัว”

เขาพยายามลบความคิดผิด ๆ ที่ว่าการทำ CPR หรือใช้เครื่อง AED ต้องเป็นหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น เขาย้ำว่า “ใคร ๆ ก็เรียนรู้ได้” และหากมีคนล้มลงต่อหน้า สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ใบประกาศนียบัตร แต่คือ “ความกล้าลงมือช่วย” และความมั่นใจนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อผ่านการฝึกหรือเรียนรู้มา แม้จะใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็ตาม

แคมเปญ Every Minute Matters สามารถดึงให้ผู้คนกว่า 350,000 คนเริ่มต้นเรียนรู้การทำ CPR ในเวลาไม่นาน ซึ่งสะท้อนว่าความตระหนักเรื่องสุขภาพในวงการฟุตบอลสูงขึ้นมาก และออลาร์ไดซ์ก็หวังว่าทุกสโมสรระดับรากหญ้าจะมีทั้งความรู้และอุปกรณ์เพียงพอในอนาคต

กลับมาที่ประเด็นเรื่องการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก บิ๊กแซมสรุปอย่างชัดเจนว่า ปัจจัยสองอย่างที่ทำให้อาร์เซนอลมีภาษีเหนือคู่แข่งในตอนนี้คือ “ตัวเลือกเกมรุกที่หลากหลาย” และ “แนวรับที่ดีที่สุดทีมหนึ่งในลีก” หากพวกเขาสามารถรับมือแรงกดดันในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลได้ดี ไม่พลาดในเกมใหญ่ และไม่สะดุดในเกมเล็ก โอกาสเห็นถ้วยพรีเมียร์ลีกกลับไปที่ลอนดอนเหนือก็ไม่ใช่เรื่องฝันเกินจริง

ขณะเดียวกัน เขายังมองในมุมแฟนบอลว่า หากมีทีมอื่นนอกเหนือจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ลีกได้บ้าง จะยิ่งทำให้พรีเมียร์ลีกน่าติดตามมากขึ้น ทั้งในด้านการแข่งขันเชิงกีฬาและบรรยากาศโดยรวมของลีก ซึ่งในปีนี้เขาเชื่อเต็ม ๆ ว่าทีมนั้นอาจชื่อ “อาร์เซนอล”

ถ้าคุณเชียร์อาร์เซนอลลุ้นแชมป์แบบแนบจออยู่แล้ว การวิเคราะห์เกมควบคู่กับโอกาสลงทุนในคู่สำคัญผ่าน แทงบอล ยูฟ่าเบท ก็ยิ่งเพิ่มอรรถรสในการชมฟุตบอลได้อีกระดับ

แต่ไม่ว่าคุณจะมั่นใจในฟอร์มปืนใหญ่แค่ไหน ทุกการเล่นควรทำด้วยสติ วางแผนเงินให้รอบคอบ แล้วปล่อยให้ความสนุกของเกมและการตัดสินใจของคุณเดินไปพร้อมกันอย่างมีความรับผิดชอบ